วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความสูงสุดแห่งศาสตร์การเมือง

ความสูงสุดแห่งศาสตร์การเมือง
            จากโสเกรติส  เพลโต  วิวัฒนาการปรัชญาทางการเมืองของกรีกถึงขั้นสุดยอดที่อริสโตเติล  ถือเอาบุคคลทั้ง  3  เป็นดังไตรภาคีอนุภาพทางปรัชญา  ดังคำพังเพยที่ว่า
            โสเกรติสเป็นศาสดาของผู้สอน
            เพลโตเป็นศาสดาของผู้คิด
            อริสโตเติลเป็นศาสดาของผู้เรียน
3.1  ชีวประวัติและสาระสำคัญจากผลงานของของอริสโตเติล
          อริสโตเติล เกิดเมื่อ  พ.ศ. 159  ที่เมืองสตากิสุส  แคว้นมาร์ชิโดเนีย  บิดาเป็นแพทย์หลวงประจำพระราชสำนักพระเจ้าอมินตัส
          อายุ  17  ปี ได้ศึกษาต่อที่กรุงเอเธนส์  เป็นศิษย์ของเพลโต  ณ  อคาเดมี  เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกตะวันตก 
          ครั้นเพลโตเสียชีวิต  เมื่อ  พ.ศ. 197  อริสโตเติลจากอคาเดมีไป  เข้าใจว่าคงเสียใจที่ไม่ได้รับเลือกเป็นอธิการบดีสืบต่อจากผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย
          พ.ศ. 200  เขาได้รับเชิญให้กลับบ้านเกิด  เพื่อถวายพระอักษรราชโอรสหนุ่มของพระเจ้าฟิลิป  ต่อมาคือพระเจ้าอเล็กซานเดอร์  เขาเป็นอาจารย์เพียง  2  ปี 
          พ.ศ. 207  เขาพาครอบครัวกลับกรุงเอเธนส์
          อริสโตเติลสามารถตั้งมหาวิยาลัยขึ้นมาใหม่เพื่อแข่งกับอคาเดมี 
ตั้งชื่อตามตำบลว่า  ลีเซียม
          พ.ศ. 220  พระเจ้าอเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ลง  เปิดทางให้พวกที่ต่อต้านมาร์ซิโดเนียในเอเธนส์ลุกฮือขึ้นมามากมาย  อริสโตเติลเห็นว่าไม่สามารถอยู่ในเมืองนี้ได้จึงโยกย้ายไปอยู่เมืองยูโบเอีย  อยู่ได้เพียงปีเดียวก็ถึงแก่กรรมรวมอายุได้  62  ปี
            ที่ลีเซียม  อริสโตเติลมีอาจารย์หลายคนช่วยบรรยายวิชาการต่าง ๆ เช่น ธีโอฟรัสตรัส  นักชีววิทยา  โดยเน้นการปฏิบัติแบบประยุกต์ใช้  เป็นการเข้าหาหรือแสวงหาสัจจะ  ถือว่าเป็นเรื่องในทางปรัชญาและในทางวิทยาศาสตร์  อันตั้งอยู่บายรากฐานทฤษฎี  และการสังเกตหรือเก็บข้อมูล  ผนวกด้วยการพิจารณาตรึกตรองอย่างถ่องแท้  วิทยาการสู่ขานี้รวมวิชา  เช่น  เทววิทยา  อภิปรัชญา  ดาราศาสตร์  คณิตศาสตร์  ชีววิทยา  พฤกษศาสตร์  อุตุนิยมวิทยา
            3.1.2  สาระสำคัญจากผลงานของอริสโตเติล
          ผลงานที่สำคัญของอริสโตเติล  คือ  การเสนอรูปแบการปกครองที่ดีที่สุดสำหรับนครรัฐกรีกในสมัยนั้น  ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาความอยุติธรรมในการแบ่งสรรอำนาจในการปกครองได้  อริสโตเติลให้
ความสำคัญอย่างยิ่งกับรัฐธรรมนูญและจิรยธรรมของมนุษย์ในรัฐ
          อริสโตเติ้ลเขียนเรื่อง Politics  เมื่อ  2,300 ปีเศษ  ได้มีวิชารัฐศาสตร์เกิดขึ้นไม่ใช่น้อย  เพราะ 
          1. ประเภทที่เสนอแนะทางออกเพื่อแก้ไขสภาพหรือสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่  เพื่อไปสู่ระบบรูปแบบของรัฐในอุดมคติ
          2. ประเภทที่รวบรวมข้อมูลทางการเมือง พิจารณาบทบัญญัติทางรัฐธรรมนูญและวิธีวิเคราะห์การปกครองของประเทศนั้น ๆ
          อริสโตเติลยอมรับว่า  อุตมรัฐ  เป็นรัฐในอุดมคติมากเกินไปกว่าจะเกิดขึ้นจริงได้  ต่อมาจึงเขียนเรื่องนิติรัฐ  เพื่อลดหย่อนชนชั้นการปกครองให้เป็นนักอุดมคติน้อยลง  โดยให้มีกฎหมายเป็นใหญ่ควบคุมชั้นปกครองอีกทีหนึ่ง
          ปรัชญาเมธีร่วมสมัยอริสโตเติลเป็นคนแรกที่ใช้วิธีวิเคราะห์  ทั้งนี้เพราะอริสโตเติลเป็นนักวิทยาศาสตร์ 
          ทิวซีคิดิส  เป็นผู้ที่อคติน้อยที่สุดมักวางตัวเป็นกลางอย่างน่ายกย่อง  ดังนั้นเขามักชี้แจงให้เห็นข้อแตกต่างระหว่าง
            1. สิ่งที่ดีที่สุดในอุดมคติ
            2. สิ่งซึ่งดีที่สุดในสถานการณ์นั้นๆ
            3. สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชุมชนนั้นๆ
          จุดเด่นอีกประการหนึ่งของอริสโตเติล  เขาสามารถโยงรัฐศาสตร์มายังเศรษฐศาสตร์ได้  โดยในปัจจุบันจุดเชื่อโยงระหว่างเศรษฐกิจกับการเมืองซับซ้อนมาก Politics เล่มแรกพรรณนาถึงการแสวงหาและใช้จ่ายทรัพย์เป็นประการสำคัญรวมถึงการใช้ที่ดินและผลผลิต แรงงาน การเงิน การแลกเปลี่ยนเงินตราและสินค้า  ตลอดพาณิชยการ  ไม่มีนักปรัชญาคนใดที่ให้ความสำคัญกับทรัพยศาสตร์มากถึงขนาดนี้  จนมาถึงสมัย อดัม  สมิท แห่งอังกฤษ
            งานด้านสำคัญทางการเมือง  คือต้องมี
          1. สินค้าให้พอเพียงในด้านอุปโภคบริโภค
          2. เงินตราไว้ใช้แลกเปลี่ยนสินค้าอย่างยุติธรรม
          3. แรงงาน  ผู้ใช้แรงงานต้องได้รับการตอบแทน  (1) เครื่องอุปโภคบริโภค  (2) เงินตราหรือทั้งสองอย่าง
            อริสโตเติ้ลมีอคติอย่างแรง  2  ประการ  (อคติ แปลว่า ความลำเอียง)
          1. เขามีทัศนคติโดยนัยลบเกี่ยวกับพาณิชยกรรมและเงินตรา
          2. เขาแทบไม่ยอมรับอำนาจของกรรมกร  ซึ่งเขาถือว่ากรรมกร  (1) สมบัติของนาย  (2) กรรมกรต้องพึ่งนายงานเจ้าของผลผลิต
          อริโตเติลถือว่าเมืองหรือนครรัฐ Polis  นั้นดีโดยธรรมชาติ  มนุษย์สร้างเมืองตามธรรมชาติของมนุษย์  อะไรเป็นไปตามธรรมชาติ  ย่อมเป็นของดี  แม้ผลิผลิตส่วนเกินขึ้นมา  แล้วนำเอาไปแลกเปลี่ยนกันเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ  การตีราคาเป็นเงินตราในการแลกเปลี่ยนเครื่องเครื่องอุปโภคบริโภคทำเลยขอบเขตแห่งธรรมชาติของมนุษย์  ยิ่งการกู้ยืมเงิน  อริสโตเติลเห็นว่าเป็นความเลวร้ายที่เดียว
          อริสโตเติล  ถือว่า  ของจริงคือแผ่นดิน  การเป็นเจ้าของแผ่นดินเป็นไปตามธรรมชาติ
          อริโตเติลเป็นคนแรกที่ศึกษาสถาบันการเมืองของรัฐต่าง ๆ โดยนำมาเปรียบเทียบกัน  อันนับว่าเขาเป็นผู้นำสมัยมากสำหรับรัฐศาสตร์
            นครรัฐของกรีกต่างกับปัจจุบัน  มีเอกลักษณ์พิเศษที่
          1. มุ่งความพอดีคือต้องไม่ใหญ่โตเกินไป
          2. มุ่งความเป็นเอกภาพและความรวมตัวกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว
          นครรัฐ  ประกอบด้วยสมาชิก  คือ  ราษฎรหรือพลเมือง  ซึ่งลงทะเบียนไว้ตามเกณฑ์รัฐธรรมนูญ  ต้องมีภาระหน้าที่การบริหารในการเป็นทหาร  ตุลาการ  ประกอบพิธีทางศาสนา  การกีฬา  ฯ
          อริสโตเติลถือว่า  รัฐเป็นสิ่งสูงสุดสำหรับสังคม  ความสำคัญการรวมตัวกันอันดับแรกคือ  ครอบครัววงศ์ตระกูล  ถัดมาเป็นหมู่บ้าน  แล้วรวมตัวกันเป็นรัฐซึ่งเขาให้ความสนใจเป็นพิเศษ
          นัยแห่งความคิดของอริโตเติล  ผู้ที่ตั้งองค์การ  สโมสร  สมาคม  ตลอดสถาบันต่าง ๆ ภายในรัฐต้องมีทัศนคติดังผู้ตั้งรัฐ  หรือผู้ร่างรัฐธรรมนูญขึ้น  คือต้องสร้างกรอบหรือรูปแบบให้สมาชิกในชุมชนนั้น ๆ ได้ร่วมกันปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมาย  รัฐธรรมนูญหรือข้อบังคับ  ปรัชญาเมธีกรีกโบราณถือว่าต้องมี  2  ส่วนผสมกัน
          1. อนุญาตให้คนจำนวนน้อยบริหารงาน  จะเรียกว่าคณะกรรมการหรือคณะรัฐมนตรี  เพื่อความสะดวกรวดเร็ว
            2. ให้สมาชิกทั้งมวลตรวจสอบงานของผู้บริหารตามวิถีประชาธิปไตย
          อริสโตเติล  มุ่งจริยธรรมเป็นประการสำคัญ  ทั้งนี้  เพื่อวางรากฐานความประพฤติปฏิบัติและข้อวัตรทางศีลธรรมจรรยา
          อริสโตเติล  กล่าวว่าปรัชญาการเมืองการกระทำของแต่ละปัจเจกชนสำคัญพอ ๆ กับการกระทำของกลุ่มชน  จริยธรรมจึงเป็นส่วนหนึ่งของการเมือง  เป้าหมายของปรัชญาการเมืองคือ  การสร้างมาตรฐานสำหรับการประพฤติปฏิบัติในสังคม  ดังนั้นเข้าจึงเริ่มเขียนเรื่อง  Ethics  เข้ากล่าวว่า  การพรรณนาด้วยวิทยาการแขนงนี้จะเป็นการสมควร  ถ้าปรากฏความออกมาเด่นชัดดังเนื้อหายอมให้เห็นเด่นออกมาได้
          ข้อความดังกล่าว  ชี้ให้เห็นว่าปรัชญาการเมืองอริสโตเติล  มุ่งที่จริยธรรม  เป็นประการสำคัญ

3.2  ทรรศนะของอริสโตเติลเกี่ยวกับการเมือง
            3.2.1  ความเป็นมาของรัฐ
          อริสโตเติลเริ่มเรื่อง  Politics  ความเป็นมาของรัฐ  ว่าเป็นวิวัฒนาการทางธรรมชาติของมนุษย์  เริ่มจากปัจเจกบุคคล  แล้วขยายเป็นครอบครัว  ขยายเป็นหมู่บ้านจนถึงเมืองกลายเป็นนครรัฐ
          สำหรับอริสโตเติล  มนุษย์ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้  ความจำเป็นบังคับให้มนุษย์มีคู่ครอง  นายมีบ่าวหรือทาสกรรมกรเพื่อช่วยเหลืองาน 
          หมู่บ้าน  มนุษย์ต้องการสิ่งอื่น ๆ นอกเหนือจากผลิตได้ในครอบครัว  และต้องการมีความสัมพันธ์ทางจริยธรรมกว้างขวางออกไป  ครอบครัวต่าง ๆ ต้องมีสัมพันธ์กันนับว่าเป็นวิวัฒนาการทางธรรมชาติจึงเกิดหมู่บ้าน
          นครรัฐ  ความจำเป็นต้องมีนครรัฐเพราะหมู่บ้านไม่สามารถอำนายความต้องการทางรูปธรรมและจริยธรรมได้อย่างเต็มที่ 
          รัฐคืออัตตาที่ยิ่งใหญ่  (อัตตา  แปลว่า  ตัวตน)  อริสโตเติล  นครรัฐคืออัตตาหรืออาตมันที่ยิ่งใหญ่ขึ้น 
          กล่าวสรุปสภาพธรรมชาติของรัฐ
          1. การเกิดขึ้นของสัญชาตญาณของมนุษย์  ซึ่งต่อสู้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดเป็นชั้น ๆ พัฒนาจากบุคคล  ครอบครัว  หมู่บ้าน  และนครรัฐในที่สุด
          2. ธรรมชาติย่อมเป็นไปอย่างดีที่สุด  สิ่งที่ดีที่สุดย่อมเป็นผลผลิตของธรรมชาติ  มนุษย์พึ่งตัวเองได้อย่างเต็มที่เมื่ออาศัยอยู่หรือบทบาทในนครรัฐย่อมถือว่า  นั่นคือสิ่งสูงสุดหรือดีที่สุดแล้ว
          3. ธรรมชาติย่อมไม่ทำอะไรโดยปราศจากเหตุผล  ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์รู้จักรับผิดชอบ
            ภาษากับการปกครองรัฐ
          มนุษย์ใช้ภาษาเพื่อประโยชน์ทางความดีหรือภาษาจึงเป็นเสียงแห่งเหตุผล ภาษาเป็นตัวเชื่อมที่สำคัญของนครรัฐ  อันต้องอธิบายวิธีการปกครอง  ตลอดถึงผลร้ายของการกระทำต่าง ๆ
            มนุษย์ขาดรัฐไม่ได้
          หากมนุษย์ขาดรัฐแล้วมนุษย์จะไม่มีวัตถุสิ่งของเท่าที่ต้องการ มนุษย์จะขาดความมั่นคงทางจริยธรรม คือไม่มีศาล ระบบบริหาร  ขบวนการยุติธรรม มนุษย์จะกลายเป็นสัตว์ป่าเอาเปรียบซึ่งกันและกัน
            ความเป็นมาของประวัติศาสตร์
          เมื่ออริสโตเติลเขียน Politics  นั้น  นครรัฐกรีกเริ่มรวนเร  รัฐบาลโกงกิน  ทรราชย์เกิดขึ้น  ทหารใช้อำนาจผิด ๆ ประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบ  ผลประโยชน์ส่วนรวมแทบปลาสนาการไป ด้วยเหตุนี้อริสโตเติลจึงเก็บข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาเล่าให้ฟัง  โดยไม่ได้ลำดับความเป็นมาตามหลักตรรกศาสตร์
           
3.2.2  คุณลักษณะทางองคายพของรัฐ
          จากความเจริญของมนุษย์  จนมาสิ้นสุดสมบูรณ์เมื่อมนุษย์รู้จักอยู่ในนครรัฐ  ด้วยเหตุผลทาง
ตรรกวิทยา  ที่อริสโตเติลให้แนวความคิดเกี่ยวกับคุณลักษณะทางองคายพของรัฐ  ซึ่งหมายถึงรัฐเป็นเครื่องมือในการับใช้  ในสิ่งซึ่งเข้าถึงที่สุด  เช่น  ทรัพย์สินเป็นองคายพหรือเครื่องมือรับใช้ชีวิตที่มีจริยธรรม  ทาสกรรมกรถือว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งทรัพย์สมบัติของคหบดี  ทุกองคายพมีขนาดจำกัด  เท่าที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น เรือ  มีขนาดเพียงพอที่ใช้เป็นเครื่องมือเดินเรือฯ  ต้องมีขนาดที่เหมาะสมเพื่อประโยชน์สร้างสรรค์มันขึ้นมา  รัฐก็เช่นเดียวกัน  คือต้องมีขนาดจำกัด
          แม้รัฐจัดเป็นประเภทองคายพ  คือ จำกัดขนาด  แต่รัฐไม่ได้เป็นองคายพ เพราะรัฐเป็นตัวรวมองคายพต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อ  1. แต่ละองคายพทำหน้าที่ที่เป็นเครื่องมือแต่ละอย่าง โดยได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียว  2. แต่ละองคายพต้องขึ้นกับองคายพอื่น
          ในทรรศนะของอริสโตเติล  องคายพหมายถึงปัจเจกบุคคลทุกคนภายในรัฐซึ่งต่างก็มีความบกพร่องและความแตกต่างกัน  แต่เมื่อมารวมกันเป็นรัฐแล้วก็สามารถสร้างความสมบูรณ์ในตัวเองได้  เพราะมนุษย์จะมีชีวิตที่ดีได้ต่อเมื่อได้ร่วมในการรับใช้รัฐ  ถ้าหากปราศจากการรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว  องคายพนั้นๆ จะไม่สมบูรณ์
          รัฐที่เอื้อเฟื้อองคายพต่าง ๆ เข้ามาประสานกันโดยไม่ปราศจากความสอดคล้องแล้ว มนุษย์ย่อมพัฒนาได้เต็มที่  การดำรงชีวิตแต่ละบุคคลเป็นไปได้โดยพึ่งพาอาศัยรัฐ อริสโตเติลเปรียบมนุษย์ในรัฐ  ว่าเป็นองคายพของรัฐเช่นอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
          รัฐมีความสำคัญมาก่อนบุคคล  มนุษย์ที่ปราศจากการทำงานให้รัฐก็ดุจแขนที่ไม่รับใช้ร่างกาย  มนุษย์ที่สมบูรณ์คือมนุษย์ที่มีส่วนร่วมในการรับใช้รัฐ  มนุษย์จึงต้องเป็นราษฎรหรือพลเมือง คือสัตว์การเมือง
          องคายพต่างๆ อริสโตเติลเน้นที่ความเหมาะสม  ถ้าแขนขาใหญ่เกินไปก็ไม่ได้ส่วน  รัฐประชาธิปไตยมากเกินไป  กลายเป็นการล่วงสิทธิของบุคคลอื่น
            อริสโตเติลยังแบ่งหน่วยองคายพออกเป็น  2  ประเภทเช่นเดียวกับร่างกาย
          1. ประเภทที่สนองความต้องการของรัฐโดยตรง  ได้แก่  ด้านทหาร  ด้านศาล  การปกครอง  พิธีกรรมเพื่อความศักดิ์สิทธิ์
          2. ประเภทเกื้อกูลให้บุคคลประเภทแรกดำรงชีพอยู่ได้  ได้แก่  กสิกร  กรรมกร  พาณิชยนิกร  ศิลปกร
            3.2.3  สถานะบั้นปลายของรัฐ
          ผลปั้นปลายของรัฐคือ  เป็นไปเพื่อชีวิตที่ดี  แต่ในทางกว้าง  ก็เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ด้วย  อริสโตเติลย้ำว่าชีวิตที่ดีคือชีวิตที่มีความสุข  โดยจำแนกความสุขเป็น  3  ประการ  คือ
          1. ความสุขภายนอก  คือ  มีฐานะทางเศรษฐกิจมั่นคง
          2. สุขทางร่างกาย  คือมีความแข็งแกร่งทางทหาร
          3. สุขภายใน  คือคุณธรรมในการปกครอง โดยที่สุขภายในสำคัญที่สุด  กล่าวคือมนุษย์จะมีความสุขที่สุดเมื่อเขามีคุณธรรมหรือปัญญาหยั่งรู้ทางจริยธรรม
          ความสุขภายในจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีความสุขภายนอก  ความสุขทางร่างกายเป็นองค์ประกอบ  อริสโตเติลการแสวงหาความสุข  3  ประการมีได้  ชนชั้นผู้ปกครองต้องมีทรัพย์ศฤงคาร  แต่การหาทรัพย์ย่อมใช้ทาสกรรมกรเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อให้บังเกิดทรัพย์ 
          อริสโตเติล  ความสุขของมนุษย์ขึ้นอยู่กับวิถีความสามารถทำคุณความดีได้โดยคุณความดีที่ดีที่สุดคือการรับใช้รัฐ  เพื่อความสุขของรัฐ  ดังเหตุผลดังนี้
          1. เพราะรัฐก็ดุจปัจเจกชน  ย่อมต้องแสดงคุณธรรมดังมนุษย์  ความสามารถในการควบคุมตัวเองและความยุติธรรม
          2. มนุษย์แต่ละบุคคลจะบังเกิดความสุขได้ตามอัตราส่วนความดีที่เขาได้กระทำ  รัฐที่มีความสุขคือรัฐที่แสดงออกทางคุณธรรมตามอัตราส่วนนั่นเอง  รัฐมีคุณธรรมมากเท่าไร  ย่อมมีความสุขมากเท่านั้น
3.3  องค์ประกอบและจุดมุ่งหมายของรัฐตามทรรศนะของอริสโตเติล
          3.3.1  รัฐในฐานะที่เป็นส่วนรวม
          วิธีตรรกวิทยาตามนัยของอริโตเติล  อธิบายถึงผลปั้นปลายของรัฐ (telos = end ผล-สุดท้าย-ปลาย)
          วิธีวิเคราะห์นั้น  เริ่มจาก Politics  แยกรัฐออกเป็นหน่วยย่อยออกไป  พอมาถึงเล่ม 3  จึงนิยามคำว่ารัฐ  โดยแบ่งองค์ประกอบที่แท้คือราษฎรหรือพลเมือง
            ราษฎร
          สาระสำคัญได้แก่  ราษฎรทุกคนมีส่วนร่วมกัน  ราษฎรคือผู้ที่อยู่ในรัฐนั้นผู้ที่มีส่วนร่วมในการตัดสินความผิดถูกชั่วดีของคนในรัฐ  (ตุลาการ)  มีอำนาจในการปกครองรัฐ  (บริหาร)
          อริสโตเติล  ราษฎรมีส่วนร่วมโดยตรงกับอำนาจอธิปไตยของรัฐ  โดยไม่ได้มอบอำนาจให้ใครอื่นไปเป็นผู้แทนราษฎร  หรือตุลาการ  ในสมัยนั้นระบอบประชาธิปไตยมีการเลือกบุคคลจำนวนน้อยเข้าไปบริหารรัฐแล้ว  คณะรัฐมนตรีไม่ได้มีอำนาจเต็มที่  หากเป็นผู้รับใช้กฎหมาย  ราษฎรทั้งมวลคอยควบคุมดูแลการบริหารงานตลอดเวลา
          แม้ราษฎรจะควบคุมศาล  การปกครองของรัฐโดยตรง  รัฐสภาเอเธนส์  (ไม่ใช่สภาผู้แทนราษฎร)  ประชุมกันทุกสัปดาห์  การตัดสินอรรถคดี  การบริหาร  อยู่ในวงจำกัดคนจำนวนน้อย  ซึ่งราษฎรส่วนใหญ่คัดเลือกไปเป็นตัวแทนทำหน้าที่แทนของตน
          อริสโตเติล  จำเพาะการปกครองที่ชนชั้นสูงหรืออภิชน  อภิชนคือราษฎรต้องมีภูมิลำเนาในรัฐนั้น
            การรวมส่วนร่วมเข้าด้วยกัน
          รัฐเป็นการรวมกันขึ้นของส่วนต่างๆ คือเป็นการรวมตัวของราษฎรเข้ามามีส่วนร่วมการดำรงตำแหน่งหน้าที่ทางการบริหาร  ตุลาการ
          การรวมตัวของรัฐที่สำคัญคือ  รัฐธรรมนูญ  เพราะกำหนดบทบาทของราษฎร  ว่าจะสัมพันธ์กันอย่างไร  ปกครองกันอย่างไร  ใครมีอำนาจสูงสุด
          ถ้ารัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย  ก็ย่อมตราให้ราษฎรส่วนใหญ่ได้ร่วมปกครองรัฐ  ถ้าเป็นไปในระบอบคณาธิปไตย  ก็ย่อมตราให้คนส่วนน้อยปกครองรัฐ 
          ผลบั้นปลาย  คือประเด็นสำคัญที่สุดของรัฐธรรมนูญ  ถ้าหวังผลปั้นปลายอันใดจากรัฐว่าต้องการให้ชุมชนมีวิถีชีวิตอย่างไร  ย่อมวางมาตรการการปกครองให้ดำเนินไปตามทางนั้น
          สำหรับกรีก  รัฐธรรมนูญไม่ได้มุ่งที่อำนาจประชาธิปไตยเท่านั้น  หากยังบ่งถึงวิถีชีวิตของราษฎรโดยตรง  ตลอดศีลธรรมจรรยาและวัฒนธรรมประเพณี  ข้อความในรัฐธรรมนูญเป็นตัวกำหนดคุณลักษณะของรัฐ  ตลอดกิจการต่าง ๆ ที่รัฐต้องประกอบเพื่อราษฎร  เพราะรัฐเป็นส่วนรวมของราษฎร
            ประเภทของรัฐ
          รัฐใดมีเป้าหมายบั้นปลายเพื่อให้เกิดชุมชนอันประกอบด้วยคุณธรรม ถือว่ารัฐนั้นปกติ ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นถือว่าผิดปกติ  รัฐธรรมนูญก็เช่นเดียวกัน  ถ้าไม่สามารถวางมาตรการให้เกิดรัฐปกติหรือตามธรรมชาติได้  ต้องถือว่ารัฐธรรมนูญนั้นผิดปกติหรือเลวร้าย
          รัฐธรรมนูญนอกจากแบ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีหรือปกติ  และรัฐธรรมนูญเลวร้ายหรือผิดปกติแล้วยังแบ่งย่อยออกเป็น
            1.  ประเภทปกติ  กำหนดให้มีรัฐบาลตามระบอบการปกครองต่าง  ดังนี้
            1) ราชาธิปไตย              2) อภิชนาธิปไตย        3) ราษฎราธิปไตย
            2.  ประเภทผิดปกติ  เป็นรัฐบาลที่เห็นแก่ตัว  แบ่งระดับการปกครองอันเลวร้ายออกเป็น  3  ประเภท
          1) ทรราชาธิปไตย  มุ่งประโยชน์ของพระราชาเพียงหนึ่งเดียว
          2) คณาธิปไตย  มุ่งประโยชน์ของชนชั้นเศรษฐีมีทรัพย์เป็นเกณฑ์จนกลายเป็นธนาธิปไตย
          3) ประชาธิปไตยแบบกรรมาชีพ  มุ่งคนจนเป็นใหญ่  โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์คนส่วนน้อย
          อริสโตเติล  ถือว่า  ทางฝ่ายดีหรือปกติ  ราชาธิปไตยเป็นเลิศ  ทางฝ่ายเลวหรือผิดปกติ  ทรราชาธิปไตย เลวที่สุด  ดังสุภาษิตลาตินที่ว่า  เมื่อคนสูงสุดเลวร้ายเสียแล้ว  ย่อมเลวร้ายถึงที่สุด  ประชาธิปไตยแบบกรรมาชีพ  เลวร้ายน้อยที่สุด  เพราะทำเลวเพื่อคนหมู่มาก
            สรุปรัฐแบบอุดมคติจากดี  ไปหาเลว  ได้ดังนี้
            1. รัฐที่มีรัฐธรรมนูญตามปกติ เพื่อมุ่งหวังผลบั้นปลายอย่างถูกต้องรัฐบาลย่อมปราศจากความเห็นแก่ตัว
                        1.1  ราชาธิปไตย
                   -  มุ่งคุณธรรมสูงสุด  เป็นประการสำคัญ
                   - พระราชาเป็นเผด็จการโดยธรรมแต่ผู้เดียว
                        1.2  อภิชนาธิปไตย
                   - มุ่งวัฒนธรรมและคุณธรรมชั้นสูง  เป็นสำคัญ
                   - ชนชั้นปกครองคือผู้มีวัฒนธรรมสูงและมีคุณธรรม
                        1.3  ราษฎราธิปไตย  หรือรัฐปาลาธิปไตย
                   - มุ่งระเบียบวินับอย่างทหารและคุณธรรมกึ่งดิบกึ่งดี
                   - ชนชั้นปกครองมาจากชนชั้นกลาง
            2. รัฐที่มีรัฐธรรมนูญผิดปกติ  ย่อมมุ่งหวังบั้นปลายผิดเป้าหมาย รัฐบาลจึงมีความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง
                        2.1  ประชาธิปไตย (แบบกรรมาชีพ)
                   - มุ่งการเกิดโดยเสรี  เป็นที่ตั้ง
                   - ชนชั้นปกครองคือมหาชนที่เป็นคนจน
                        2.2 คณาธิปไตย (ธนาธิปไตย)
                   - มุ่งทรัพย์เป็นที่ตั้ง
                   - ชนชั้นปกครองคือพวกเศรษฐี
                        2.3 ทรราชาธิปไตย
                   - มุ่งหวังอำนาจข่มเหงและการหลอกลวงราษฎร  เป็นที่ตั้ง
                   - คนๆ เดียวเผด็จการโดยปราศจากคุณธรรมใดๆ
            3.3.2  รัฐตามความเป็นจริงและการปรับปรุงให้รัฐดีขึ้น
            อริสโตเติลมีความเห็นว่า
          1. ศิลปะแห่งการปกครองรัฐ ก็ดุจศาสตร์อื่นๆ เราต้องรูว่าการฝึกปรืออย่างไรจึงถือว่าดีที่สุด  ในทางการปกครองเราต้องรู้ว่ารัฐที่ดีที่สุดตามสภาพความเป็นจริง  ควรเป็นอย่างไร
          2. เราต้องพิจารณาสภาพรัฐตามที่เป็นอยู่  ดูว่าเหตุปัจจัยอันใด ทำให้รัฐมีสภาพเช่นนั้น  จะปรับให้รัฐนั้นๆ ดีที่สุดอย่างไร
          3. เราต้องถามตัวเองว่ามีแบบอย่างได้ไหม  รัฐที่ดีที่สุดในสภาพทั่วๆ  ไป โดยปรับแบบอย่างให้เข้ากันได้กับสภาพอันแตกต่างตามสภาพความเป็นจริงหลากหลาย
          4. เราต้องค้นพบวิธีจะสร้างและธำรงรักษาไว้  ซึ่งรัฐที่กล่าวแล้วในข้อ 3
          อริสโตเติลไม่ได้มุ่งรัฐอุดมคติดังเพลโต  หากมุ่งรัฐที่ดีที่สุด  เท่าที่เป็นไปได้ตามสภาพความจริง
          วิธีการของอริสโตเติล  คือ เราต้องหารัฐตามสภาพความเป็นจริง  มาพิจารณาสิ่งแวดล้อมต่างๆ ให้เข้าใจ  แล้วตรารัฐธรรมนูญเพื่อกำหนดให้ดำเนินไปได้อย่างสอดคล้อง
          จุดเริ่มต้นของอริสโตเติล  คือรวบรวมรัฐธรรมนูญของรัฐต่างๆ มาศึกษาและหาวิธีทำให้ดีขึ้นหรือธำรงรักษาไว้
          อริสโตเติลทำการแปลกใหม่กว่านักปรัชญาการเมืองอื่นๆ คือไม่ได้ตั้งทฤษฎีในทางอุดมคติขึ้นมาเท่านั้น  หากยังเก็บข้อมูลรัฐธรรมนูญจากรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ ที่ใช้ในรัฐทั้งหลายเป็นประการสำคัญ แล้วสรุปความเป็นมาของรัฐว่า
          1. ราชาธิปไตยเกิดก่อน  เพราะรัฐเล็กๆ จะหาคนดีวิเศษที่สามารถมากย่อมไม่ได้  ผู้คนยังไม่เจริญผู้หนึ่งผู้ใดเด่นขึ้นมาย่อมชวนให้คนทั้งหลายตามได้ง่าย
          2. ในเวลาต่อมา  คนมีความสามารถมากขึ้น  ย่อมไม่ปล่อยให้คนๆ เดียวทำเช่นนั้นอีกต่อไป  คณะกลุ่มคนช่วยกันปกครอง  โดยจำเป็นต้องมีรัฐธรรมนูญตราขึ้นเป็นข้อตกลงกัน  ในบรรดาคนพวกนี้เกิดการปกครองระบอบอภิชนาธิปไตย
          3. ชนชั้นผู้ปกครองเริ่มเห็นแก่ตัว  หาประโยชน์ใส่ตัวเองจากตำแหน่งหน้าที่การงานในรัฐ  ทรัพย์จึงเป็นมาตรฐานในการไต่เต้าทางการเมืองจึงเกิดการปกครองระบอบธนาธิปไตย
          4. ตามด้วยทรราชาธิปไตย ซึ่งคนๆ เดียวสามารถเอาชนะคนอื่นๆ ได้ทั้งหมด  ด้วยวิธีข่มเหงอย่างร้ายแรง
          5. ปฏิกิริยาในข้อ 3 4 ย่อมนำไปสู่ประชาธิปไตยแบบกรรมาชีพ
          อริสโตเติลออกดูแคลนการปกครองแบบประชาธิปไตย  เพราะรัฐธรรมนูญมักโยงไปยังอำนาจทหาร  เมื่อราชาธิปไตยสิ้นอำนาจลง  พวกอภิชนมักใช้กำลังทหารม้าเป็นเกณฑ์  เพราะพวกนั้นมีทรัพย์  แต่ถ้าราษฎรยึดอำนาจมาได้ย่อมใช้ทหารราบเพราะอาศัยคนหมู่มาก
            ประชาธิปไตยและคณาธิปไตยแบบกรีก
            ประชาธิปไตยแบบต่างๆ ขึ้นอยู่กับเหตุ  2  ประการ
          1. คุณลักษณะพิเศษของราษฎรในรัฐนั้น ๆ
          2. สถาบันที่กำหนดขึ้นเพื่อรับใช้ระบอบการปกครอง
            อริสโตเติลกล่าวถึงการปกครองแบบต่างๆ ของคณาธิปไตย  สรุปได้  2  รูปแบบ
          1. ทรัพย์สมบัติ  เป็นตัวตัดสิน คือ  ธนาธิปไตย  แบบนี้พอยึดหยุ่นได้พ่อค้าผู้ร่ำรวยมักฉวยโอกาสเข้ามารับใช้ในการบริหาร
          2. วงศ์ตระกูลของชนชั้นผู้ปกครองเป็นตัวตัดสิน  คือ  วงศาธิปไตยหรือขัตติยาธิปไตย  แบบนี้มีกรอบที่ตายตัวมักตั้งตนอยู่เหนือกฎหมาย
          ธนาธิปไตยเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยได้ไม่ยาก  หากสถานะทางสังคมเปลี่ยนไปคนถือเงินตราน้อยลง  คนจนร่ำรวยขึ้น  กลุ่มคนรวยที่ปกครองอยู่ก่อนจนลง  และไร้ความสามารถ  คนจนที่ไม่รวยนักแต่มีความสามารถมากขึ้นสามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองได้
          คณาธิปไตยแบบวงศาธิปไตยหรือขัตติยาธิปไตย  จะดำรงอยู่ต่อเนื่องเมื่อชนชั้นผู้ปกครองสามารถผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวกันเปลี่ยนแปลงได้ยาก
            รัฐธรรมนูญแบบผสม
          การแก้ไขปัญหาความเลวร้ายของรัฐ  อริสโตเติลมุ่งไปที่  ชั้นชั้นกลางเป็นผู้ปกครอง  ชนชั้นกลางมีทรัพย์ไม่มาก  ชนชั้นกลางมีมากพอควรและเป็นที่ยอมรับทั้งสองฝ่ายทั้งคนรวยและคนจน  ชนชั้นกลางใกล้ชิดทั้งคนรวยและคนจน  เพราะรู้จักทั้งสองชนชั้นและมุ่งความยุติธรรมยิ่งกว่าผลประโยชน์ของชนชั้นใด
          คนรวยชอบปกครองโดยกดขี่คนอื่นอย่างไม่รู้ตัว  เพราะเคยมาเช่นนี้แต่ภายครอบครัวแล้ว  ในขณะที่คนจนชอบเชื่อฟังนาย  ถ้าสองชนชั้นมีอำนาจการปกครองน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก  ชนชั้นกลางเท่านั้นที่เข้าใจปัญหาความเสมอภาพ  ภราดรภาพ  และความยุติธรรม  สามประเด็นนี้คือสดมภ์หลักที่ให้รัฐดำรงอยู่ในฐานะเป็นการรวมตัวทางการเมืองของบุคคลต่าง ๆ
          สรุปตามความเห็นของอริสโตเติล  ชนชั้นกลางเหมาะที่สุดที่จะปกครองรัฐดังที่เป็นอยู่ตามความจริง  แต่ถ้าปรับปรุงไม่ถูกส่วนก็เอียงไปทางใดทางหนึ่ง
          ผลสรุปนี้อริโตเติลได้รับอิทธิจากเพลโตในเรื่อง  นิติรัฐ  อุตมรัฐเป็นไปไม่ได้ตามความเป็นจริง  จึงต้องใช้วิธีผสมผสานราชาธิปไตยกับระบอบประชาธิปไตยเข้าด้วยกัน เพื่อรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดตามสภาพความเป็นจริง
          อริสโตเติลผิดจากเพลโตที่ไม่ได้คิดทฤษฎีเท่านั้น  อริสโตเติลใช้รูปแบบการปกครองแบบของคาร์เทช  สปาตาร์  และแนวคิดของเพลโตประกอบกัน  เป็นการประสานประโยชน์ที่อริสโตเติลมุ่งคือ
          1. การแบ่งสรรความยุติธรรมอย่างเหมาะสม ฯ
          2. เมื่อมุ่งความยุติธรรมสำหรับชนชั้นโดยให้ชนชั้นกลางเป็นผู้ปกครองดำรงตำแหน่งทางการเมือง
          3. รัฐธรรมนูญย่อมรวมชนชั้นต่างๆ เข้าด้วยกันเพราะตรารัฐธรรมนูญขึ้นเพื่อมุ่งประโยชน์ของทุกชนชั้น
          รัฐธรรมนูญแบบผสมนี้  ทำให้การแบ่งประเภทของรัฐแปรเปลี่ยนไปด้วย  เพราะเป็นการผสมผสานระหว่างคณาธิปไตยกับระบอบประชาธิปไตย
            รัฐธรรมนูญแบ่งออก  3  ระดับ  หรือ  3  ชั้น
          1. ชั้นหรือชนิดที่เกิดจากสภาพความเป็นจริง  มักเป็นไปอย่างผิดปกติ
          2. เมื่อวางแผนปรับปรุงรัฐธรรมนูญการปกครองอย่างรอบคอบ  โดยใช้รัฐธรรมนูญ
          3. ชั้นหรืออุดมคติ  คือ  ทิ้งสภาพความเป็นจริงที่เลวร้ายหมดได้หมด  หมดสภาพความผิดปกติ
            3.3.3  ทฤษฎีเกี่ยวกับรัฐกับการแยกตัวออกจากรัฐและการแก้ไขความชั่วร้าย
          อริสโตเติลไม่ได้เสนอการปฏิรูปรัฐโดยใช้รัฐธรรมนูญแบบผสม  จากสภาพความเป็นจริงผิดธรรมชาติ  เพื่อเข้าหาสภาพปกติทางธรรมชาติ  ยังเสนอแนะว่า  ถ้ารัฐปกครองโดยขาดความยุติธรรมขั้นพื้นฐาน  ผู้ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบย่อมมีสิทธิ์ปฏิเสธระบอบการปกครองของรัฐนั้น
            การแยกตนออกจากรัฐ  มี  3  ขั้นตอน
          1. เกิดความไม่เสมอภาคขึ้น
          2. แล้วกลายเป็นความยุติธรรมในระบอบการปกครอง  โดย
          3. หวังได้ว่าถ้ายึดอำนาจรัฐ  หรือแยกตนออกจากอำนาจไม่ชอบธรรมนั้น
            อริสโตเติล  หลักการแยกตนออกจากรัฐหรือการยึดอำนาจรัฐนั้นมี  2  ประการ
          1. เพื่อลงโทษผู้ปกครองที่ทำผิดขั้นพื้นฐาน โดยมุ่งประโยชน์ตนและพวกพ้องมากกว่าส่วนรวม  แล้วต้อง
          2. ตรารัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ให้ชอบธรรม
            วิธีแก้ความอยุติธรรม  อันเป็นเหตุสำคัญคนทนไม่ได้  4  ประการ
          1. ให้รัฐธรรมนูญได้รับการยอมรับจากมวลสมาชิกในรัฐอย่างน้อยคนส่วนมากต้องเห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญการปกครองรัฐ
          2. เมื่อคนส่วนใหญ่ยอมรับระบอบการปกครองแล้ว  การปกครองก็ต้องเป็นไปอย่างไม่รุนแรง
          3. ตำแหน่งทางการเมือง  ควรได้รับการปกป้อง  อย่าให้มีการแสวงหาผลประโยชน์เพื่อส่วนตัวขึ้นมาได้ 

          4. ราษฎรทุกคนควรได้รับการฝึกหัดอบรมให้เข้าใจรัฐธรรมนูญ  เขาจะเชื่อฟังรัฐธรรมนูญเป็นชีวิตจิตใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น