กำเนิดลัทธิเสรีนิยมประชาธิปไตยสมัยใหม่
7.1 ภูมิหลังความคิดของล็อค
7.1.1 สภาพสังคมในอังกฤษในศตวรรษที่ 17
ถ้าจะวัดทฤษฎีการเมืองโดยพิจารณาจากอิทธิพลที่ทฤษฎีนั้นมีต่อความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ ต้องนับว่าทฤษฎีการเมืองของจอห์นล็อค มีความสำคัญอย่างมาก เพราะนอกจากมีอิทธิพลต่อทฤษฎีการเมืองของอังกฤษแล้ว
ยังมีอิทธิพลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการปฏิวัติในอเมริกาและการปฏิวัติในฝรั่งเศส เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริง ทฤษฎีการเมืองที่สำคัญมี 2
ทฤษฎี
1.
ทฤษฎีเสรีนิยมประชาธิปไตย
2.
ทฤษฎีสังคมนิยมมาร์กซิสม์
สภาพสังคมในอังกฤษในศตวรรษที่ 17 นับว่าสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ
เพราะมีการปฏิวัติเกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง คือ
1. ค.ศ.
1648 การปฏิวัติของพวกพิวริตัน
2. ค.ศ.
1688 การปฏิวัติอันเรืองเกียรติ
เหตุการณ์ปฏิวัติเกิดจากกรณีพิพาททางศาสนา
หลังจากคริสตจักรของอังกฤษแยกตัวออกจากการปกครองของพระสันตะปาปาที่กรุงโรม
คริสต์จักรของอังกฤษพยายามที่จะ
วางกฎเกณฑ์การนับถือศาสนาและการประกอบพิธีกรรมแบบประนีประนอมทั้งสองฝ่าย
มีชาวโปรเตสแตนต์กลุ่มหนึ่งพยายามปฏิรูปศาสนาให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นพวกนี้จึงถูกเรียกว่า พวกพิวริตัน
การปฏิวัติของพวกพิวริตัน
สมัยพระเจ้าชาลส์ที่ 1
พระองค์พยายามเด็ดขาดกับพวกพิวริตันเพื่อให้คริสต์จักรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันพระเจ้าชาลส์แต่งตั้งให้ วิลเลียม
เลาด์ เป็นอาร์คบิชอปแห่งแคนเทอบอรี่ เลาด์บังคับให้วัดนำพิธีกรรมต่าง ๆ
ที่พวกพิวริตันรังเกียจมาใช้ ห้ามนักเทศน์นิกายพิวริตันเข้ามาเทศน์ในวัด จับนักเผยแพร่ความคิดพิวริตันมาลงโทษ
ประกอบกับพระราชากับพระราชินีเองเป็นคาทอลิก
พวกพิวริตันเชื่อว่าสำนักพระราชวังสำนักนิยมศาสนาพยายามกดขี่พวกตน ในที่สุดเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น โดยพวกพิวริตันในสภาเป็นผู้นำทำสงครามกับพระเจ้าชาลส์ที่
1 พระเจ้าชาลส์แพ้และถูกประหารชีวิต
11 ปีต่อ
ประเทศอังกฤษปกครองสภาเดียวเปลี่ยนการปกครองมาเป็นสาธารณรัฐ การปกครองล้มเหลวเนื่องจากฝ่ายสภากับกองทัพขัดแย้งกันตลอดเวลา อังกฤษจึงหันมาใช้ระบอบกษัตริย์ดังเดิม เชิญพระเจ้าชาลส์ที่ 2 มาครองราชย์ ในสมัยนั้นมีปัญหาทางศาสนาเกิดขึ้นอีก
บทบาททางการเมืองของพระเจ้าชาลส์ที่
2 เช่น เซ็นสัญญาลับกับพระเจ้าหลุยที่ 14 แห่งฝรั่งเศส
ซึ่งเป็นชาวคาทอลิก
สาเหตุการปฏิวัติที่สำคัญอีกประการหนึ่ง พระเจ้าชาลส์ ที่ 1 มีหนี้สินมากมายเนื่องจากการทำสงครามกับต่างประเทศ พระองค์เรียกสภาประชุมเพื่อขออนุมัติเงินสภาไม่เห็นด้วย พระเจ้าชาลส์จึงหาวิธีหาเงินโดยไม่ผ่านสภา ในที่สภาสภาลงมติให้ลงโทษกษัตริย์ของตน
เมื่อนโยบายทางศาสนาของพระเจ้าชาลส์ที่
1 ไม่เป็นที่พอใจของชาวสก็อตแลนด์ที่เลาด์บังคับให้วัดสวดมนต์ตามแบบอังกฤษ จึงเกิดสงคราม กองทัพสก็อตแลนด์ยึดครองทางเหนืออังกฤษไว้ได้ พระเจ้าชาลส์เรียกประชุมสภาเพื่อเรียกร้องเงิน สภาได้เรียกร้องให้กษัตริย์ยอมรับอำนาจสูงสุดในรัฐ
และร่างรัฐธรรมนูญความคุมกองทัพ
พระเจ้าชาลส์ไม่ยอมรับจึงเกิดสงครามกลางเมือง
การปฏิวัติอันเรืองเกียรติ
เมื่อพระเจ้าชาลส์ที่ 2
สิ้นพระชนม์ พระเจ้าเจมส์ที่ 2
ขึ้นครองราชย์
ความหวาดกลัวของชาวโปรเตสแตนต์เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
พระเจ้าเจมส์ดำเนินการอย่างโจ่งแจ้งในการสนับสนุนนิกายคาทอลิก ฝ่ายโปรเตสแตนต์มองว่า
อังกฤษต้องถูกปกครองด้วยทายาทคาทอลิกไม่มีวันสิ้นสุด ในที่สุดส่วนใหญ่ในสภาสุดทน อัญเชิญวิลเลียมแห่งออเรนจ์ ซึ่งเป็นพระสวามีของแมรี่ ราชธิดาพระเจ้าเจมส์ที่ 2
และเป็นโปรเตสแตนต์มาจากฮอลแลนด์ เพื่อครองราชย์แทน
พระเจ้าเจมส์ ที่ 2
เห็นว่าคนส่วนมากสวามิภักดิ์พระเจ้าวิลเลียม
จึงหนีออกจากประเทศ สภาอังกฤษประกาศให้พระเจ้าวิลเลียมและแมรี่เป็นพระราชาพระราชินีปกครองอังกฤษร่วมกัน เหตุการณ์ในครั้งนั้นเรียกว่า การปฏิวัติอันเรืองเกียรติ
ทางด้านการเมือง ในศตวรรษที่ 17 เหตุการณ์ในอังกฤษเป็นผลมาจากการต่อสู้ความเป็นใหญ่ระหว่างกษัตริย์อังกฤษกับสภา
ทางด้านเศรษฐกิจ ความปั่นป่วนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ อำนาจทางการเมืองเปลี่ยนจากกษัตริย์และขุนนางสู่ชนชั้นกลาง
กษัตริย์อังกฤษจนลงเพราะความฟุ่มเฟือยและการทำสงครามกับต่างชาติ ที่กล่าวมาเป็นเหตุการณ์
ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น
7.1.2 ชีวิตและผลงานของล็อค
จอห์น ล็อค เกิดวันที่
29 สิงหาคม ค.ศ.1632
บิดาเป็นนักกฎหมายและเป็นพวกพิวริตัน
เคยเป็นทหารอยู่ในกองทัพของรัฐสภาต่อสู้กับพระเจ้าชาลส์ที่ 1
เมื่อล็อคอายุได้ 15 ปี เข้าเรียนที่โรงเรียนเวสท์มินส์เตอร์ ในสมัยหนุ่มล็อคสนับสนุนการที่องค์อธิปัตย์มีอำนาจสูงสุดและเด็ดขาด โดยเห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอดของสังคม ล็อคถือว่าอำนาจนั้นไม่ใช่อำนาจตามอำเภอใจ อำนาจต้องเป็นไปตามกฎหมาย
ค.ศ. 1665
ล็อคเข้ามามีบทบาททางการเมืองโดยเป็นเลขานุการของเซอร์ วอลเตอร์
ค.ศ. 1666 ล็อคได้พบบุคคลสำคัญที่บทบาทสำคัญในชีวิตเขา
คือ แอนโธรี่ คูเปอร์
ภายหลังได้เป็นเอิร์ล แห่ง แชฟต์เบอรี่
เป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียง เป็นคนร่ำรวยมีอำนาจทางการเมืองสูง
แต่ไม่อยู่กับร่องกับรอย แชฟต์เบอรี่ป่วยเป็นโรคตับอักเสบ
ล็อคเป็นผู้บงการให้เขาผ่าตัดรักษาโรคตับการผ่าตัดสำเร็จไปด้วยดีสัมพันธภาพคนทั้งสองเป็นไปอย่างแน่นแฟ้น
และได้มอบตำแหน่งสำคัญทางการเมืองให้ล็อค การได้สนทนากับแชฟต์เบอรี่มีอิทธิพลทางความคิดเป็นอย่างมาก
เข้าเริ่มเขียนเกี่ยวกับเมืองขันติธรรม สังคมการเมืองและรัฐบาล ภายหลังได้ตีพิมพ์เป็นทฤษฎีการเมืองที่สำคัญของล็อค
เน้นสิทธิเสรีภาพตามธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งจำกัดอำนาจอธิปัตย์
ความคิดนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปจากความคิดเดิมเมื่อวัยหนุ่ม
ล็อคมีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนกับนักทฤษฎีการเมืองหลายคน
ผลงานคลาสสิกที่นักปรัชญาต้องศึกษาคือ ความเรียงเกี่ยวกับความเข้าใจมนุษย์
ล็อคมีกิจกรรมทางการเมืองอย่างลับๆ โดยแชฟต์เบอรี่เป็นผู้ดึงเขาเข้ามา ในสมัยพระเจ้าชาลส์ที่ 2
ผู้คนเกิดความกลัวว่ากษัตริย์จะกดขี่พวกโปรเตสแตนต์
ผู้แทนสภากลุ่มแชฟต์เบอรี่
ได้ร่างกฎหมายให้สภาตัดสิทธิ์กษัตริย์
เมื่อพระเจ้าชาลส์ไม่เห็นชอบในร่างกฎหมาย
แชฟต์เบอรี่จึงวางแผนปฏิวัติและดึงล็อคเข้ามาร่วมด้วย ในที่สุดความแตกล็อคจึงเนรเทศตัวเองไปอยู่ฮอลแลนด์
พระเจ้าชาลส์ที่ 2
ออกคำสั่งไล่ล็อคออกจากอาจารย์ที่ออกซ์ฟอร์ด
ค.ศ. 1688 เมื่อวิลเลียมเป็นกษัตริย์ของอังกฤษ ล็อคได้เดินทางกลับประเทศ ผลงานของเขาได้รับการตีพิมพ์เมื่อหนังสือ Treatises และ Essay
ได้รับการตีพิมพ์ทำให้ล็อคมีชื่อเสียงโด่งดังทั้งประเทศและในยุโรป หลังจากนั้นเขาได้ใช้ชีวิตอย่างเงียบ ๆ
ไม่ยุ่งกับการเมือง เขียนหนังสือเพียงอย่างเดียวแต่ไม่มีชื่อเสียงมากนัก ล็อคสิ้นชีวิตเมื่อ ค.ศ. 1704
ทฤษฎีการเมืองสำคัญของล็อคในหนังสือ
Treatises เขียนขึ้นมาเพื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องของแชฟต์เบอรี่ในการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญใหม่กีดกันไม่ให้ดยุคแห่งยอร์คขึ้นมาครองราชย์ต่อจากพระเจ้าชาลส์ที่
2 หลักการของล็อคคือ
อำนาจที่ชอบธรรมต้องมาจากความยินยอมของประชาชน หนังสือ Treatises แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ
1. ล็อคอ้างเหตุผลปฏิเสธทฤษฎีเทวสิทธิ์ของฟิลเมอร์ ซึ่งเป็นทฤษฎีการเมืองฝ่ายนิยมกษัตริย์
และเป็นทฤษฎีเดียวที่เป็นปฏิปักษ์กับทฤษฎีของล็อค
2.
เป็นการแถลงทฤษฎีของตนเอง
มีเนื้อหาเกี่ยวกับที่มา
ขอบเขต และจุดหมายอำนาจรัฐ
7.1.3 การปฏิเสธลัทธิเทวสิทธิ์
ลัทธิเทวสิทธิ์เป็นความคิดทางการเมืองมีมาแต่โบราณ ความคิดที่อิงกับศาสนา แก่นแท้ของลัทธินี้คือ กษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดและสูงสุด
อยู่เหนือกฎหมายบ้านเมือง เป็นอำนาจที่ชอบธรรมเพราะพระเจ้าเป็นผู้มอบอำนาจให้
ศตวรรษที่ 16 – 17
อำนาจกษัตริย์ถูกท้าทายลัทธิเทวสิทธิ์ถูกนำมาใช้สนับสนุนให้กษัตริย์ใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด เซอร์โรเบิร์ต ฟิลเมอร์
เขียนหนังสือชื่อ
ปิตาธิปไตยอย่างซับซ้อน
โดยอ้างประวัติศาสตร์โลกตามบรรยายในคัมภีร์ไบเบิลสืบสาวถึงอาดัมมนุษย์คนแรก ว่า
ความคิดของฟิลเมอร์ หลังจากพระเจ้าสร้างโลกแล้วได้สร้างมนุษย์คนแรกคืออาดัม
และได้รับสิทธิ์จากพระเจ้าให้มีอำนาจเหนือคนทั้งโลก อาดัมในฐานะเป็นบิดาของคนทั้งปวง
ผู้ที่มีสิทธิ์เป็นกษัตริย์และมีอำนาจเด็ดขาดในการปกครองคือผู้ที่สืบทอดมาจากเชื้อสายอาดัมโดยตรง
อำนาจการปกครองนี้เป็นอำนาจสูงสุด เด็ดขาดที่ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งความเป็นความตายของทุกคน
อำนาจเมื่อพระเจ้าประทานให้จึงไม่มีกฎหมายใดมาจำกัดได้ อำนาจกษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายบ้านเมือง ระบอบการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบการปกครองที่ชอบธรรมประชาชนจะเรียกร้องเสรีภาพโดยอ้างถึงเสรีภาพตามธรรมชาติไม่ได้ เพราะมนุษย์เกิดมาอยู่ภายใต้อำนาจเด็ดขาดของกษัตริย์
ล็อคได้โจมตีความคิดของฟิลเมอร์ลัทธิเทวสิทธิ์ว่า อาดัมไม่มีสิทธิ์ตามธรรมชาติอันได้มาจากพระเจ้าในการที่จะปกครองคนทั้งโลก ทายาทของอาดัมก็ไม่มีสิทธิ์เช่นนั้น
ล็อคเห็นว่ากฎธรรมชาติที่พระเข้าวางไว้ต้องมีเหตุผล
สามารถนำไปปฏิบัติได้ ความเชื่อนี้เป็นหลักการที่ล็อคโจมตีลัทธิเทวสิทธิ์ คือ
ทฤษฎีเทวสิทธิ์
1.
กฏกำหนดสิทธิการปกครองบ้านเมืองตกอยู่กับทายาทของอาดัม เป็นกฏธรรมชาติที่พระเจ้ากำหนดไว้
2.
กษัตริย์อังกฤษครองราชย์ตามสิทธิ์ข้อ
1 เป็นไปตามกฎธรรมชาติที่พระเจ้ากำหนด
ล็อคแย้งว่า
3.
กฏธรรมชาติเป็นกฎที่มีเหตุผลเพราะพระเจ้าเป็นผู้กำหนด กฏที่ไร้เหตุผลไม่ใช่ธรรมชาติ
4.
กฏที่มีเหตุผลต้องนำไปปฏิบัติได้
กฏใดนำไปปฏิบัติไม่ได้ถือว่าไร้เหตุผล
5. กฏข้อที่ 1
ของลัทธิเทวสิทธิ์นำไปปฏิบัติไม่ได้
6. จากข้อที่ ข้อที่ 4 – 5
สรุปว่า กฏข้อ 1
ไร้เหตุผล
7. จากข้อ 3
และ 6 สรุปว่า
กฎข้อ 1 ไม่ใช่ธรรมชาติ
8. จากข้อ 7
สรุปว่า ข้อ 1
ไม่เป็นจริง เนื่องจากข้อ 1
อาศัยข้อ 2 เป็นเหตุผล
จึงเป็นเหตุผลที่ผิดพลาด
ข้อที่ 3
เป็นเหตุผลที่ล็อคปฏิเสธทฤษฎีลัทธิเทวสิทธิ์
7.2 ธรรมชาติมนุษย์
7.2.1 มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติและกฏธรรมชาติ
ทฤษฎีการเมืองของล็อคโดยเริ่มจากประเด็นเรื่องมนุษย์ในสภาวธรรมชาติ เหตุผลนี้คือ
สังคมการเมืองเป็นการจัดระบบให้มนุษย์จำนวนมากอยู่ร่วมกัน ดังนั้นปัญหาหลักของทฤษฎีการเมืองคือ จะจัดระบบการเมืองอย่างไรให้เป็นธรรม สามารถให้มนุษย์อยู่รวมกันอย่างเป็นสุข
วิธีการของล็อคคือ คิดดูด้วยเหตุผลเชิงสมมติ คือสมมติดูใจมนุษย์ว่า ถ้า
มนุษย์ไม่อยู่ในกรอบของสังคมการเมืองแล้วมนุษย์จะมีลักษณะอย่างไร
ผลการวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเชิงสมมติคือ ล็อคเชื่อว่ามนุษย์ในสภาวธรรมชาติย่อมมีเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ มีความเสมอภาคกัน ที่ว่าเสรีภาพอย่างสมบูรณ์หมายถึง มนุษย์มีเสรีภาพจะทำอะไรก็ได้ ภายในขอบเขตของธรรมชาติ โดยไม่ขึ้นอยู่กับทาสหรือเจตจำนงของผู้อื่น
สรุปความคิดของล็อค มนุษย์ในสภาวธรรมชาติมีลักษณะ 2
ประการ
1. มีเสรีภาพโดยสมบูรณ์
2.
มีความเสมอภาคกัน
คำอธิบายของล็อคในเรื่องต่าง
ๆ นำไปสู่การวางพื้นฐานข้อสรุปเกี่ยวกับสังคมการเมือง ได้แก่
1.
ลักษณะของเสรีภาพ ล็อคอธิบายว่า
เสรีภาพของมนุษย์ในสภาวธรรมชาติเป็นสิ่งที่มีค่าควรแก่รักษาไว้ ในสังคมการเมืองเสรีภาพเหล่านี้ควรได้รับการปกป้อง
2. กฏธรรมชาติ
ล็อคเชื่อว่ากฏในจักรวาลมีกฎทางศีลธรรมที่วางแนวอันถูกต้องสำหรับความประพฤติของมนุษย์อยู่แล้ว
เป็นกฏที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกำหนดของผู้ออกกฎหมายบ้านเมือง ไม่ขึ้นกับการกำหนดของมนุษย์ผู้ใด แต่เป็นกฏที่สูงกว่านั้น เป็นกฏสากล
พระเจ้าทรงกำหนดขึ้นสำหรับมนุษย์ทั้งมวล
3.
เนื้อหาของกฎธรรมชาติ
ล็อคได้อธิบายเนื้อหากฏธรรมชาติดังนี้
3.1 มนุษย์ต้องไม่ทำลายชีวิตของตนเองและผู้อื่น
ล็อคอ้างเหตุผลว่า ในเมื่อมนุษย์ทุกคนพระเจ้าสร้างขึ้นมา เป็นสมบัติหรือผลิตผลของพระเจ้า ไม่ใช่ของเล่นเราเป็นเจ้าของเราจะใช้ทำอะไรก็ได้ตามชอบใจ เราย่อมไม่มีสิทธิ์ทำลายชีวิต พระเจ้าสร้างมนุษย์มาเท่าเทียมกัน ไม่มีใครมีอำนาจเหนือชีวิตผู้อื่น
3.2 สืบเนื่องมาจากข้อแรก
มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะลงโทษผู้ละเมิดกฏธรรมชาติข้อแรกซึ่งห้าทำลายชีวิต เห็นได้ชัดว่ากฏข้อนี้เหมือนกับกฎหมายบ้านเมือง
ล็อคเชื่อว่ามนุษย์มีสิทธิตามธรรมชาติอย่างอื่นก็ตามมาด้วย ได้แก่ สิทธิในการรักษาชีวิตของตน สิทธิในการรักษามนุษยชาติทั้งมวล สิทธิที่จะลงโทษผู้กระทำผิดกฏธรรมชาติ
สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายจากผู้กระทำผิด ความเห็นที่แตกต่างกันระหว่าง ฮอบส์ กับ ล็อค ในเรื่องเสรีภาพตามธรรมชาติ คือ ฮอบส์ มีความเห็นว่าเสรีภาพคือการกระทำสิ่งใดโดยไม่มีใครบังคับ ล็อค
มีความเห็นว่าเสรีภาพคือการกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ถูกบังคับแต่ต้องไม่ละเมิดกฏธรรมชาติ
7.2.2 สิทธิในทรัพย์สิน
ล็อคต้องการชี้ให้เห็นว่าในสังคมการเมืองที่ให้เป็นธรรม
รัฐบาลต้องปกป้องทรัพย์สินของประชาชน
และต้องเคารพสิทธิในทรัพย์สินของประชาชน
รัฐบาลจะใช้อำนาจยึดทรัพย์สินของประชาชนตามชอบใจไม่ได้ สิทธินี้เป็นสิทธิที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เป็นไปตามกฏที่พระเจ้าวางไว้
ล็อคให้ความสนใจสิทธิในทรัพย์สินเป็นพิเศษ
เพราะปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองในศตวรรษที่
17
ช่วงเวลานั้นทวีปยุโรปเพิ่งพ้นยุคกลางมาได้ไม่นานนัก ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมยังไม่เติบโตอย่างเต็มที่ ความคิด
ประเพณีวัฒนธรรมแบบสมัยกลางยังไม่สูญสิ้นไปเสียทีเดียว แนวความคิดเรื่องทรัพย์สินส่วนตัวยังไม่เกิด ถึงแม้จะมีสิทธิในทรัพย์สินอยู่บ้าง
แต่ไม่มีสิทธิในการจัดการทรัพย์สินของตนได้อย่างเต็มที่มากนัก
ปัญหาหลัก
ที่ล็อคจะตอบ คือ มนุษย์ในสภาวธรรมชาติมีสิทธิในทรัพย์ได้อย่างไร ?
สิ่งที่ล็อคต้องการพิสูจน์ในเรื่องนี้คือ
ในสภาวะธรรมชาติมนุษย์มีสิทธิในทรัพย์สินอยู่แล้ว
สิทธิไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะระเบียบกฏเกณฑ์ในสังคมการเมืองเป็นตัวกำหนดขึ้น ในเมื่อมนุษย์มีสิทธิในชีวิต คือการรักษาชีวิต
ก็ต้องมีสิทธิในปัจจัยจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของตนด้วย ก่อนที่ทุกคนจะใช้ธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ต้องครอบครองสิ่งที่ตนต้องใช้เสียก่อน จะครอบครองอย่างเดียวไม่ได้ ความครอบครองจึงกลายเป็นสิทธิในการเป็นเจ้าของสิ่งนั้น สิ่งนั้นคือ “แรงงาน” ผลผลิตของแรงงานเป็นของผู้ใช้แรงงาน
ปัญหาต่อมา คือ
เมื่อพระเจ้าทรงประทานโลกให้มนุษย์ทุกคนใช้ยังชีพ แต่ถ้ามนุษย์สามารถจับจองที่ดินเป็นจำนวนมากและอ้างกรรมสิทธิ์ในสิ่งเหล่านั้น ก็เป็นว่าประโยชน์ตกอยู่เฉพาะบางคน
ล็อคตอบว่า
ตามกฎธรรมชาติหรือเหตุผล
บุคคลมีสิทธิในทรัพย์สินเฉพาะจำนวนที่สามารถถือเอาไปใช้ยังชีพได้โดยไม่เหลือให้เสื่อมโทรม
หรือผุผังเน่าไป.......ฯ ผู้ใดขัดขืนฯ ถือว่าขัดกับเจตจำนงของพระเจ้า
สรุป สภาวะธรรมชาติมนุษย์มีสิทธิต่าง ๆ โดยล็อคเน้นว่า ความสำคัญของสิทธิในทรัพย์สินมากที่สุด และสิทธิเหล่านี้เป็นผลมาจากธรรมชาติซึ่งวางแนวความประพฤติที่ถูกต้องสำหรับมนุษย์ในสภาวธรรมชาติ
7.2.3 จริยปรัชญาของล็อค
ความเชื่อของล็อคในสภาวะธรรมชาติ
อันเป็นสภาวะที่มนุษย์ไม่ได้อยู่ร่วมกันในระบบการเมืองของสังคม
มีกฏทางจริยธรรมควบคุมความประพฤติของมนุษย์อยู่แล้ว มนุษย์ทุกคนมีเหตุผล กฎจริยธรรมไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เป็นผู้บัญญัติเพื่อวางกฏเกณฑ์ในสังคม ความคิดนี้แตกต่างกับความเชื่อว่า ความดี
ความชั่วไม่มีอยู่ในสภาวะธรรมชาติ
แต่อยู่ในสังคมการเมือง
ล็อคมีความเห็นว่า ในสภาวะธรรมชาติ กฎเกณฑ์ความประพฤติ ความดี
ความชั่ว มีอยู่แล้ว ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์กำหนดเอง เป็นระเบียบที่มีอยู่แล้วในจักรวาล กฎเหล่านี้จึงเป็นกฏตายตัวและเป็นสากลใช้เป็นระเบียบความประพฤติของมนุษย์ไม่ว่าในสถานใดหรือกาลสมัยใด กฎระเบียบต่าง
มนุษย์สร้างขึ้นในสังคมเป็นกฏที่ดี
และถูกต้องเมื่อเดินตามกฏธรรมชาติเหล่านี้ ล็อคอ้างว่ากฏธรรมชาติคือเจตจำนงของพระเจ้า
ในคำสอนของคริสต์ศาสนา รัฐเป็นนาวาพามนุษย์ไปสู่ความดีอันสูงสุด
หรือความสมบูรณ์แบบ แต่ล็อคอ้างพระเจ้ามีเนื้อหากว้างๆ
ไม่มีลักษณะเฉพาะอย่างคริสต์ศาสนา พื้นฐานความเชื่อของล็อคอยู่ที่ความมีเหตุผลของกฏระเบียบในจักรวาลตลอดถึงสมรรถภาพของมนุษย์ของเหตุผลมนุษย์
7.3
ที่มาและรากฐานของสังคมการเมือง
7.3.1 กำเนิดของสังคมการเมือง
ตามทรรศนะของฮอบส์
สภาวะของธรรมชาติเป็นสภาวะของสงครามกล่าวคือ มนุษย์แต่ละคนแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัว และเมื่อผลประโยชน์ขัดแย้งกับผู้อื่นก็ต้องต่อสู้แย่งชิงผลประโยชน์กัน กลายเป็นสงครามที่มนุษย์แต่ละคนทำกับคนอื่นๆ
ทั้งหมด ผลคือ แต่ละคนไม่ได้ผลประโยชน์ตามที่ต้องการ แต่มนุษย์เป็นผู้มีเหตุผล ละจากการใช้เหตุผลก็พบว่าวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาผลประโยชน์ของแต่ละคนก็คือยอมสละเสรีภาพตามธรรมชาติของตนและมอบออำนาจให้องค์อธิปัตย์เป็นผู้รักษาระเบียบความสงบในสังคม
ปัญหาที่เกิดจากความคิดของฮอบส์เกี่ยวกับสภาวะธรรมชาติคือ
ถ้าสภาวะนี้เป็นสภาวะที่มีความสงบอยู่แล้ว
และมนุษย์อยู่รวมกันอย่างมีเหตุผล
ถึงแม้สภาวธรรมชาติเป็นสภาวะที่สงบ
แต่มีความไม่สะดวกประการหนึ่ง คือสภาวะนี้ไม่มีอำนาจส่วนกลางจะตัดสินความเป็นธรรมและยุติธรรมความขัดแย้งในหมู่มนุษย์ มนุษย์มีสิทธิตามธรรมชาติที่จะป้องกันตัวเองและตัดสินความยุติธรรม แต่มนุษย์มักมีอคติ รักตัวเอง
การใช้ตัวเองตัดสินความยุติธรรมมักนำไปสู่ความขัดแย้ง
การที่มนุษย์ละทิ้งสภาวธรรมชาติมาอยู่ร่วมกันในระบบสังคมการเมืองก็เพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะสงครามอันเป็นสภาวะที่มนุษย์ทำลายล้างกันและกัน อันเป็นผลมาจากการขัดแย้งกัน
จากเหตุผลของล็อคสรุปได้ว่า เหตุผลที่มนุษย์สร้างระบบสังคมการเมืองขึ้นมาเพราะธรรมชาติถึงแม้ไม่ใช่สภาวะสงครามแต่มีความไม่สะดวกอย่างมาก และอาจนำไปสู่สภาวะสงครามได้
เป็นสภาพที่ชีวิตและเสรีภาพตลอดทรัพย์สินของแต่ละคนขาดความมั่นคงและปลอดภัย ถูกคุกคามจากผู้อื่นเสมอ
เป็นสภาพที่แต่ละคนหวาดกลัวภยันตรายรอบข้างซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา
มนุษย์แต่ละคนไม่อาจสามารถปกป้องทรัพย์สินและชีวิตตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จึงละทิ้งสภาวธรรมชาติมาอยู่รวมกันในสังคมการเมืองซึ่งสามารถปกป้องชีวิต เสรีภาพและทรัพย์สินของแต่ละคนได้ดีกว่า
ฮอบส์กับล็อคมีความเห็นเกี่ยวกับสภาวธรรมแตกต่างกันคือ
ฮอบส์ มีทรรศนะว่า
ถ้ามนุษย์ไม่อยู่ร่วมกันในสังคมการเมืองต้องตกอยู่ในสภาพอันสพึงกลัวเป็นสภาวะที่ทุกคนทำสงครามประหัตประหารกัน
ล็อค มีทรรศนะว่า ถ้าไม่มนุษย์ไม่อยู่ร่วมกันในสังคม ก็ไม่จำเป็นว่าต้องตกอยู่ในสภาวะสงคราม แต่จะไร้ความปลอดภัยและความมั่นคง มีแนวโน้มที่จะเกิดสภาวะสงคราม
ล็อคบรรยายลักษณะของสภาวธรรมชาติไว้เช่นนั้นก็เพื่อบรรลุถึงจุดประสงค์ 2
ประการ
1.ต้องการชี้ให้เห็นว่า
การอยู่ร่วมกันในสังคมการเมืองเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการอยู่ในสภาวะธรรมชาติ ดังที่ล็อคกล่าวว่าสภาวะธรรมชาติไร้ความปลอดภัย
ฯ
2. ต้องการให้เห็นความสลายตัวของรัฐไม่ได้นำไปสู่สภาวะสงคราม แม้มนุษย์กลับไปสู่สภาวะธรรมชาติ
แต่ชุมชนมนุษย์ก็สามารถรวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่ได้ ดังที่ล็อคกล่าวว่า สภาวะที่มนุษย์อยู่รวมกันด้วยเหตุผลมีสันติสุขช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
จากความคิดของล็อค รัฐถือกำหนดจากการที่มนุษย์พิจารณาดูเหตุผลแล้วเห็นว่า
การอยู่ร่วมกันในสังคมการเมืองเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ปกป้องชีวิต เสรีภาพ
และทรัพย์ของตน จึงละทิ้งสภาวธรรมชาติและสร้างระบบการเมืองขึ้นมา
สังคมการเมืองคือสังคมที่มีอำนาจในการออกกฎหมายตัดสินความเป็นธรรมและลงโทษผู้กระทำผิดเป็นอำนาจส่วนกลาง
อำนาจส่วนกลางเป็นผลมาจากที่แต่ละบุคคลสละอำนาจที่ตนมีในสภาวธรรมชาติ และมอบอำนาจแก่ชุมชนหรือสาธารณชนเป็นผู้ใช้อำนาจแทนในฐานะรัฐบาล
สังคมการเมืองจึงเกิดจากมนุษย์ทุกคนร่วมตกลงร่วมมือรวมเป็นชุมชน
และมอบอำนาจให้ส่วนกลาง
ข้อตกลงนี้ล็อคเรียกว่า “ปฐมสัญญา” แก่นแท้ของทฤษฎีการเมืองของล็อคคือ “สัญญาประชาคม” นี้
7.3.2 ความหมายของสัญญาประชาคม
ลักษณะสัญญาประชาคมของล็อคคือ สัญญาประชาคมเชิงประวัติศาสตร์ คือ สัญญาที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ เป็นขั้นหนึ่งของวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์
ลักษณะของประชาคมอีกลักษณะหนึ่งคือ สัญญาประชาคมเชิงสมมติ
ตามสภาวธรรมชาติ
และสัญญาประชาคมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเป็นแต่เพียงสิ่งสมมติ การกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้เป็นวิธรีการหรือรูปแบบที่ทำให้เข้าใจว่าการอยู่รวมกันในสังคมการเมือง เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของมนุษย์ เป็นสภาวะธรรมชาติที่สมมติขึ้นมาฯ
ปัญหาที่ล็อคต้องการตอบปัญหาเกี่ยวกับเกณฑ์ตัดสินว่า
มนุษย์อยู่รวมกันในภาพใด
รัฐบาลแบบใดที่ดีสำหรับมนุษย์
ส่วนคำตอบของล็อคคือ มนุษย์สมควรอยู่ร่วมกันในสังคมการเมือง
รัฐบาลที่ชอบธรรมต้องมาจากการยินยอมของปวงชน
ประเด็นที่ล็อคสนใจ
คือ เกณฑ์การตัดสิน คุณค่า
ข้อเท็จจริง
ดังนั้น
การอ้างเหตุผลของล็อครัฐบาลที่ชอบธรรมต้องมีรากฐานอยู่บนความยินยอมของประชาชน การอ้างเหตุผลของล็อคมีเนื้อหาดังนี้
1.มนุษย์ในฐานะที่มีสิทธิตามธรรมชาติในชีวิต ทรัพย์สิน
และเสรีภาพ ของตน
2.จากข้อ 1 มนุษย์มีจริยธรรมที่เคารพในสิทธิตามธรรมชาติของผู้อื่น
3. แม้มนุษย์จะมีเหตุผลเข้าใจกฏจริยธรรม
แต่ก็มีกิเลสตัณหา มีความต้องการคุกคามชีวิต
ทรัพย์สิน เสรีภาพ ผู้อื่น
4. เมื่อมีการคุกคามฯ การป้องกันตนเองฯ ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด เพราะนำไปสู่การประหัตประหารกัน มนุษย์แต่ละคนไม่สามารถปกป้องชีวิต ทรัพย์สิน
เสรีภาพ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5.
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันฯ
คืออยู่ร่วมกันในสังคมมีอำนาจกลางตัดสินความเป็น ธรรมและลงโทษผู้กระทำผิด
7.3.3 รูปแบบของรัฐ
ตามทรรศนะของล็อค
การสละอำนาจและความยินยอมนี้มีส่วนในการกำหนดรูปแบบของรัฐด้วย
เพราะในการสละอำนาจของแต่ละคนจะต้องสละให้กับผู้ใด หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
เปรียบเช่นกับแรงที่ทำให้วัตถุเคลื่อนที่ไป การสละอำนาจของล็อคคือ การสละอำนาจให้กับผู้ใดผู้หนึ่งมาจากความยินยอมแต่ละคนฯ
ล็อคถือว่า อำนาจนิติบัญญัติเป็นอำนาจสูงสุดของประเทศ
การใช้เสียงส่วนใหญ่กำหนดตัวผู้รับมอบหมายอำนาจ หมายถึง การกำหนดตัวผู้รับอำนาจสูงสุด และการกำหนดรูปแบของรัฐ
ถ้าเสียงส่วนใหญ่เป็นผู้ออกกฎหมายและแต่งตั้งผู้มาใช้กฎหมาย รูปแบบรัฐก็จะเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์
7.3.4 ขอบเขตแห่งอำนาจรัฐ
1.
อำนาจนิติบัญญัติต้องไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ
2.
กฏหมายผู้ที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติร่างขึ้นมาต้องประกาศใช้อย่างชัดแจ้งให้เป็นที่รู้ทั่วกัน
3.
ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติไม่อาจพรากทรัพย์สินไปจากเจ้าของได้ นอกจากว่าจะได้รับยินยอมจากเจ้าของเสียก่อน
4.
ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติไม่สามารถโอนอำนาจนี้ให้แก่ผู้อื่นได้
ขอบเขตอำนาจนิติบัญญัติดังกล่าวของล็อคเป็นหลักการที่จำกัดอำนาจสูงสุดเอาไว้ไม่ให้ถูกนำไปใช้ตามอำเภอใจ
อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจการบริหาร ล็อคเห็นว่า
ไม่ควรอยู่ในมือของคน ๆ เดียว
หรือกลุ่มคนกลุ่มเดียว
เพราะมิฉะนั้นกลุ่มหรือบุคคลเหล่านั้นจะออกฎหมายเอื้อต่อผลประโยชน์ตนเอง หรืออาจจะยกเว้นตัวเองจากการอยู่ภายใต้กฎหมาย
7.4
สังคมการเมืองและปัจเจกบุคคล
7.4.1 สิทธิและเสรีภาพของปัจเจกชนในรัฐ
ตามทรรศนะของล็อค มนุษย์ในสังคมการเมืองต้องสละ 3
สิ่ง คือ
1. ความเสมอภาค
เมื่อมนุษย์ตกลงให้บุคคลหรือกลุ่มหนึ่งมีอำนาจสูงสุด ออกกฎหมายควบคุมคนทั้งประเทศ นั่นหมายความว่า มนุษย์สละความเสมอภาคโดยยอมให้คนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง ได้แก่
สิทธิในอำนาจสูงสุด
2. เสรีภาพเมื่อมนุษย์ตกลงให้บุคคลหรือกลุ่มหนึ่งมีอำนาจสูงสุด ออกกฎหมายควบคุมคนทั้งประเทศ นั่นหมายความว่า มนุษย์ยอมให้คนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งบงการกระทำของตน ถือว่าเป็นการสละเสรีภาพ
3. อำนาจบริหาร
เมื่อมนุษย์มาอยู่ร่วมกันในสังคมเมือง
ก็ตกลงกันสละอำนาจที่แต่ละคนมีให้กับส่วนกลางเป็นผู้ใช้แทนตน
รัฐบาลที่ชอบธรรม
ต้องไม่ทำลายสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ คือ สิทธิในชีวิต เสรีภาพ
ทรัพย์สิน
ถึงแม้มนุษย์ต้องสละบางอย่างเมื่ออยู่ในสังคมการเมือง แต่มนุษย์ยังคงมีสิทธิในชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สินอยู่ เป็นสิทธิที่ใครจะพรากไปไม่ได้
ทฤษฎีการเมืองของฮอบส์แตกต่างจากล็อคโดยสิ้นชิ้ง คือ
ฮอบส์ มนุษย์ในสังคมการเมืองได้สละเสรีภาพของตนโดยสิ้นเชิงเพื่อแลกกับสันติภาพและความมั่นคง
เสรีภาพตามทรรศนะของฮอบส์ เสรีภาพตามธรรมชาติเป็นเสรีภาพปราศจากขอบเขต
เป็นต้นเหตุสำคัญของสงครามระหว่างมนุษย์ในสังคมการเมือง มนุษย์ไม่ควรมีเสรีภาพเท่าเดิมมนุษย์ภายใต้กฎหมายสังคมเมืองห้ามกระทำอย่างหลายอย่างมนุษย์ในสภาวธรรมชาติกระทำได้
เสรีภาพของมนุษย์ในสังคมการเมืองย่อมถูกบั่นทอนลง
ล็อค โดยแท้จริงมนุษย์ไม่ได้สูญเสียเสรีภาพในการเข้ามาอยู่ในสังคมการเมือง ไม่เอาเสรีภาพไปแลกกับคนอื่น
มนุษย์ยอมสละอำนาจหรือสิทธิบางอย่างเพื่อแลกกับความมั่นคง ปลอดภัย
แต่เสรีภาพนั้นมนุษย์ยังมีขอบเขตเท่าเดิม
สรุป ล็อคมีทรรศนะว่า สังคมการเมืองที่ชอบธรรมควรให้สิทธิส่วนบุคคลแก่ประชาชน ประชาชนควรมีสิทธิส่วนบุคคลในการดำรงชีวิตและทรัพย์สิน
7.4.2 การขัดขืนอำนาจรัฐ
สิทธิในการปฏิวัติ เมื่อรัฐมีอำนาจ ถ้ารัฐใช้อำนาจตามอำเภอใจ
มนุษย์ทุกคนมีสิทธิประวัติโดยร่วมมือกับคนส่วนใหญ่ ดังนั้นสิทธิการปฏิวัติจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อ
มีชุมชนร่วมมือกันมีการกระทำร่วมกัน
สามารถขัดขืนอำนาจรัฐได้
ล็อค มีทรรศนะว่า การขัดขืนอำนาจรัฐรัฐหรือการปฏิวัติจะชอบธรรมก็ต่อเมื่อผู้ใช้อำนาจรัฐใช้อำนาจเกินขอบเขต
เหตุผลหลักของล็อค
คือ รัฐเป็นเสมือนผู้ดูแลผลประโยชน์ของประชาชน ประชาชนมอบอำนาจให้แก่รัฐในการป้องชีวิต
ทรัพย์สิน เสรีภาพ เมื่อใดรัฐทำหน้าที่นี้บกพร่องหรือเกินขอบเขตหน้าที่ตน โดยเฉพาะการหาผลประโยชน์ใส่ตน
และประชาชนเสียผลประโยชน์ เมื่อนั้น ถือว่ารัฐหมดสิทธิโดยปริยาย
อำนาจจะกลับคืนมาสู่ปวงชน สังคมการเมืองสลายตัวไปเอง มนุษย์กลับสู่สภาวธรรมชาติและสิทธิจะเลือกผู้ดูแลผลประโยชน์คนใหม่
สรุป ทรรศนะของล็อค
ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่ารัฐบาลใช้อำนาจเกินขอบเขตหรือไม่ และผู้มีสิทธิประวัติมีความสำคัญยิ่ง
เพราะในที่สุดแล้วอำนาจอธิปไตยอยู่ที่ปวงชน ทรรศนะนี้เป็นแก่นความคิดแบบประชาธิปไตยและเป็นความคิดที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อวัฒนาการของประชาธิปไตยในโลกตะวันตก
7.4.3 ล็อคกับลัทธิเสรีนิยมประชาธิปไตย
ธรรมชาติมนุษย์
1.มนุษย์มีสิทธิบางอย่างอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ที่สำคัญๆ คือ
สิทธิปกป้องชีวิตของตน สิทธิในทรัพย์สิน
สิทธิจะลงโทษผู้กระทำผิด
สิทธิผลผลิตเกิดจากแรงงานของตน
2.
เมื่อมนุษย์มรสิทธิตามข้อ 1 มนุษย์แต่ละคนมีหน้าที่ทางจริยธรรม
ที่จะเคารพสิทธิของผู้อื่น
มนุษย์สามารถเข้าใจด้วยเหตุผล
3.
ถึงมนุษย์มีเหตุผลเข้าใจกฎเกณฑ์ธรรมชาติ
แต่มนุษย์มีกิเลสตัณหา บางครั้งอาจคุกคามชีวิต ทรัพย์สิน
เสรีภาพ ผู้อื่น
ปัญหา
มนุษย์ต้องการปกป้องรักษาชีวิต ทรัพย์สิน
เสรีภาพของตน
แต่ผลประโยชน์มักขัดกัน เป็นผลให้ชีวิต
ทรัพย์สิน เสรีภาพไร้ความปลอดภัย
ทางเลือก
1.ต่างคนต่างป้องกันชีวิต ทรัพย์สิน
เสรีภาพ ตามความสามารถ
2.
มอบสิทธิอำนาจทั้งหมดให้คน ๆ เดียว
คือกษัตริย์ เป็นผู้ใช้อำนาจปกป้อง
ฯ ของทุก ๆ คน
3. อาศัยมติเสียงส่วนใหญ่มอบอำนาจให้คน
ๆ หนึ่ง หรือกลุ่มหนึ่ง
ในการตัดสินใจความเป็นธรรม
การใช้อำนาจอยู่ในขอบเขต ฯ
ที่กำหนด
ข้อสรุป ข้อที่
3 เป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด
สรุปของล็อคเกี่ยวกับสังคมการเมือง ลัทธินิยมประชาธิปไตยประกอบด้วย 2
ทฤษฎี
1. ทฤษฎีประชาธิปไตย มีลักษณะกว้างๆ คือ เป็นทฤษฎีที่อำนาจอธิปัตย์อยู่ที่ประชาชน หมายความว่าประชาชนมีอำนาจนี้ แต่มอบให้ผู้อื่นใช้แทน
2.
ทฤษฎีเสรีนิยม ทฤษฎีนี้ยึดหลักการว่า รัฐบาลมีหน้าที่หลักคือการปกป้องชีวิต
ทรัพย์สิน เสรีภาพของประชาชน
ทฤษฎีเสรีนิยมประชาธิปไตยของล็อค ไม่ใช่ทฤษฎีที่สมบูรณ์ เพราะล็อคไม่ได้ระบุว่ารัฐบาลที่มีรูปแบบต้องประกอบด้วยผู้แทนที่เลือกโดยปวงชน
รัฐบาลต้องให้สิทธิส่วนบุคคลในการดำรงชีวิต
นับถือศาสนา
และการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี ทฤษฎีของล้อคจึงเป็นเพียงโครงสร้างลัทธิเสรีนิยมประชานิยม
7.5
อิทธิพลและคุณค่าความคิดของล็อค
ทฤษฎีการเมืองของล็อค เพื่อแสดงกิริยาของเขาที่มีต่อวิกฤตการณ์ทางการเมืองสมัยนั้น ความคิดของล็อคต้องการโจมตีความคิดของฟิลเมอร์ที่มีอิทธิพลมากในสมัยนั้น (ลัทธิเทวสิทธิ์)
อิทธิพลของล็อคต่อการปฏิวัติอเมริกาและฝรั่งเศส
ความคิดของล็อคต้องการเสนอคำตอบแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมืองในสมัยนั้น
ทฤษฎีของล็อคจึงมีลักษณะที่ถูกกำหนดโดยสภาพทางการเมืองสมัยนั้น
เมื่อทฤษฎีของล็อคไปยังทวีปอเมริกาและฝรั่งเศส
ทฤษฎีของล็อคถูกนำไปใช้ในลักษณะเป็นทฤษฎีปฏิวัติโดยสมบูรณ์มีอิทธิพลโดยตรงต่อการปฏิวัติอเมริกัน และโดยทางอ้อมต่อการปฏิวัติของฝรั่งเศส
ศตวรรษที่ 18
การปฏิวัติเกิดขึ้นในอเมริกัน เกือบ 1
ศตวรรษหลังจากการปฏิวัติในอังกฤษ
และเกือบ 15 ปี
ก่อนการปฏิวัติในฝรั่งเศส
ความคิดของล็อคได้กลายเป็นสามัญสำนึกของนักคิดโดยทั่วไป บรรดาผู้นำและปัญญาชนชาวอาณานิคมล้วนได้รับการศึกษาอบรมมาทางทฤษฎีการเมืองของล็อค
ความคิดทางการเมืองของล็อคจึงเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในหมู่ชาวอาณานิคม
ความคิดของล็อคที่ชาวอเมริกันนำมาใช้ได้แก่
สิทธิตามธรรมชาติ ชาวอาณานิคมถือว่ารัฐสภาอังกฤษออกกฎหมายเก็บภาษีพวกตนทั้ง
ๆ ที่พวกตนไม่มีผู้แทนในสภา เป็นการละเมิดสิทธิตามธรรมชาติของตน ดังนั้นชาวอาณานิคมมีสิทธิที่จะขัดขืน
กรณีการปฏิวัติในฝรั่งเศส ทฤษฎีของล็อคถูกนำเอาไปใช้ในฐานะปฏิวัติอย่างเต็มตัว
ในประเทศฝรั่งเศสเผด็จการกษัตริย์ฝังรากลึก
ทางเลือกเดียวคือการปฏิวัติ ทฤษฎีของล็อคเรื่องสิทธิเสรีภาพของมนุษย์และสิทธิในการปฏิวัติของปวงชนจึงเหมาะสมอย่างยิ่งกับสถานการณ์ในประเทศฝรั่งเศส
อิทธิพลความคิดของล็อคที่มีต่อนักปฏิวัติฝรั่งเศสส่งผ่านมาทางวอลแตร์
และมองกิเออ ซึ่งเคยอยู่ในอังกฤษ แม้ทั้งสองไม่ได้เสนอการปฏิวัติ แต่ทรรศนะของล็อคถูกถ่ายทอดสู่นักปฏิวัติโดยทั้งสอง
คุณค่าของทฤษฎี
จอห์น ล็อค
ทฤษฎีของล็อคนำไปสู่ลัทธิเสรีนิยมประชาธิปไตย โครงสร้างของลัทธินี้ตามปรากฏในทฤษฎีของล็อคเหมาะสมแก่การนำไปพัฒนาให้เป็นทฤษฎีเสรีนิยมประชาธิปไตยอย่างเต็มตัว
ปรัชญาการเมืองของล็อคเป็นผลผลิตของศตวรรษที่ 17
ความคิดของล็อคยังไม่หมดคุณค่าเสียทีเดียว
ตราบใดที่ระบบเผด็จการในรูปแบบต่างๆ
ยังไม่สิ้นสูญไปจากโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น