ปรัชญาศาสนากับสังคมปัจจุบัน
14.1 ปรัชญาศาสนาพุทธกับสังคมปัจจุบัน
14.1.1
ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับวิถีชีวิต สังคมพุทธศาสนา
1.
ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับสังคม
พุทธศาสนามีความเกี่ยวพันกับวิถีชาวพุทธในฐานะที่เป็นสถาบันหนึ่งของสังคมที่มีความสำคัญ
ให้ความหมายและเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติ
เป็นที่มาและถ่ายทอดวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติไทยกล่าวโดยสรุป พุทธศาสนาเป็นเสมือนรากเหง้าแห่งความเป็นชาติและเอกลักษณ์ดั้งเดิมของชาติไทยทั้งทางด้านสังคมวัฒนธรรมและการเมือง
การพิจารณาความสำคัญ บทบาท และอิทธิพลที่พุทธศานามีต่อวิถีชีวิตประชาชนชาวพุทธนั้นจะต้องคำนึงถึงส่วนประกอบอื่นๆ
ซึ่งรวมกันเป็นพุทธศาสนาด้วย องค์ประกอบที่เป็นพุทธศาสนานั้นได้แก่ พระพุทธเจ้า
พระพุทธธรรมคำสั่งสอน พระภิกษุสงฆ์ วัด และอุบาสกอุบาสิกา
ดังนั้นการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับสังคมไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาเชิงปรัชญา
เชิงเศรษฐกิจ การเมือง ความเกี่ยวพันของแต่ละองค์ประกอบมีความสำคัญ
ความสำคัญของแต่ละส่วนประกอบอาจจะยิ่งหย่อนกันไปก็ต่อเมื่อประเด็นปัญหาที่นำมาพิจารณานั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องใดเป็นการเฉพาะกล่าวโดยสรุป
ส่วนที่มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับวิถีประชาชนชาวพุทธมากที่สุดได้แก่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในรูปแบบต่างๆ
เช่น ดั่งปรากฏในพระสูตรในชาดก ฯลฯ นอกจากพระธรรมแล้วก็ได้แก่
พระสงฆ์และวัดซึ่งเป็นส่วนประกอบที่เป็นรูปธรรมและเกี่ยวพันมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมอยู่ตลอดเวลา
2. หลักคำสอนของพุทธศาสนากับสังคม
หลักคำสั่งสอนของพุทธศาสนามีอยู่มากมายและจำแนกออกเป็นหลายหมวดหมู่
แต่ละหลักคำสอนแต่ละหมู่มีจุดมุ่งหมายที่จะอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสาเหตุ
ผล และทางที่จะแก้ปัญหาแต่ละอย่าง
นอกจากนี้ระดับของความลุ่มลึกและความกว้างไกลของแต่ละหลักคำสอน ยังมีจุดหมายเพื่อสนองตอบความต้องการที่แตกต่างกันของบุคคลด้วยเหตุนี้การตีความของหลักคำสอนจึง
มักจะโน้มเอียงไปตามทรรศนะประสบการณ์อันเนื่องมาจากอาชีพ
สาขาวิชาที่ศึกษาเล่าเรียนตัวอย่างเช่นนักศึกษาวิชารัฐศาสตร์
บางท่านอาจจะตะความสันโดษเพียงว่าเป็นความพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่และสภาพ
เช่นว่านี้ไม่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศในทางตรงข้ามนักธรรมชาติหรือนักรักษาสภาวะแวดล้อม
จะเห็นว่าการตีความสันโดษดังกล่าวเหมาะแล้วเพราะการรักษาสภาพที่เป็นอยู่
เป็นการอนุรักษ์ความดีงามซึ่งการตีความทั้งสองด้านนั้นถ้าพิจารณาจากนักการศาสนาแล้วยังขาดความสมบูรณ์อย่างมากด้วยเหตุผล
ดังกล่าวนี้ระดับความเข้าใจพุทธสาสนาของชาวพุทธในสังคมไทยจึงมีความแต่กต่างกันอย่างมากหากจะแบ่งเป็นฝักฝ่ายใหญ่ๆ
สองฝ่ายอาจจะกำหนดได้เป็น
(1) ฝ่ายที่ยึดถือศาสนาพุทธตามหลักพระคัมภีร์
กล่าวคือ ยึดถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระศาสนาเช่น
พระไตรปิฎก พระสูตรต่างๆ เป็นต้น
ผู้ยึดถือและปฏิบัติตามแนวทางนี้จะปฏิเสธหลักการคำสอนและวิธีปฏิบัติอื่นๆ
ที่มิได้อยู่ในพระคัมภีร์ เช่น ความเชื่อในภูติผีเทวดา
ความเชื่อและการปฏิบัติที่รับมา แปลงมาหรือปรับปรุงมาจากลัทธิความเชื่อศาสนาอื่นๆ
พุทธศาสนิกชนประเภทนี้ถือว่าเป็นคนส่วนน้อยซึ่งมักจะจัดว่าเป็นผู้ที่มีระดับการศึกษาสูง
(2) ฝ่ายที่ถือพุทธศาสนาแบบชาวบ้าน
อันหมายถึงการเชื่อหลักคำสอนของพุทธศาสนาที่ได้ผสมผสานกับความเชื่ออย่างอื่นและศาสนาอื่นๆ
เช่น พราหมณ์ จนผู้ถือและปฏิบัติไม่อาจแยกออกได้ว่า
ส่วนใดเป็นหลักคำสอนที่มาจากพระพุทธศาสนาจริง ๆ
และส่วนใดไม่ใช่สำหรับการปฏิบัติพิธีกรรมซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของศาสนานั้น
ถ้าหากเป็น“พุทธศาสนาแบบชาวบ้าน”จะมีพิธีกรรมหลากหลาย ให้ความสำคัญแก่พิธีกรรมสูง
พิธีกรรมในศาสนาจะมีลักษณะทั้งผสมผสานและผสมปนเปเช่นพิธีแต่งงานที่มีทั้งพิธีทางพุทธศาสนา
เช่น การทำบุญตักบาตร
พิธีพราหมณ์เช่นการเชิญพราหมณ์มาทำพิธีสวมมงคลการให้มีการรดน้ำสังข์นอกจากนี้ ยังอาจจะมีการเซ่นไหว้ศาลพระภูมิ
เจ้าที่เจ้าทางและและการไหว้บรรพบุรุษเป็นต้นส่วนการปฏิบัติศาสนพิธีของผู้ที่ถือพุทธศาสนาโดยยึดตามคัมภีร์นั้น
มักจะมีความสำคัญแก่พิธีเหมือนที่เป็นหลักการทางพุทธศาสนาเท่านั้นหลักธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธ
มีอยู่มากมายหลายหมวดหมู่ และมีชื่อแตกต่างกันไป เช่น
หลักธรรมที่ว่าด้วยความจริงอันประเสริฐเรียกว่าอริยสัจซึ่งกล่าวถึงสภาวะธรรมชาติของทุกข์
เหตุที่เป็นที่มาของความทุกข์
ความดับทุกข์และหนทางแห่งการดับทุกข์หรือหลักธรรมที่สอนให้บุคคลสามารถครองชีวิตทางเศรษฐกิจให้ปราศจากความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน
เรียกว่าทิฏฐธัมกัตถประโยชน์ หรือธรรมที่เรียกว่าอิทธิบาท 4 ดังนี้เป็นต้น แต่หากพิจารณาโดยรวบรวมยอดแล้วจะเห็นได้ว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามุ่งที่จะ
1. อธิบายสภาวะธรรมชาติของชีวิตเช่นสรรพสิ่งเกิดขึ้นมาได้อย่างไร คงอยู่ได้เพราะเหตุใด เสื่อมสลายไปเพราะอะไร ฯลฯ
2. อธิบายและสอนถึงวิธีการที่จะครองชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข สอดคล้องกับสภาวะธรรมชาติ การบรรเทาความทุกข์ อันเกิดจากสภาวะนานาประการ
3. อธิบายและสอนแนวทางการดำรงอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในสังคม ตั้งแต่ระดับเอกบุคคลจนถึงปวงชนทั้งชาติและทั้งโลก เช่น เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่อบุคคล
ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสัมพันธ์ของครอบคัวต่อครอบครัว ระหว่างครูกับลูกศิษย์ สมณชีพราหมณ์กับบุคคลธรรมดา เพื่อนกับเพื่อน
นายกับลูกจ้าง ผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง รัฐบาลกับประชาชน แม้กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
4. อธิบายและแนะนำแนวทางที่จะนำหลักธรรมคำสอนไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน ตามลักษณะของปัญหาตามระดับสติปัญญา
และความประสงค์ของบุคคลดังนั้นระดับคำสอนของพระพุทธศาสนาจึงมีหลายระดับทั้งที่เป็นสัจธรรมเบื้องต้น
เบื้องกลาง และสูง มีทั้งส่วนที่เรียกว่าเป็นโลกียธรรมและโลกุตรธรรม เป็นต้น
14.1.2 พุทธศาสนากับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม
ความเปลี่ยนแปลงหรือความเป็นอนิจจังเป็นหลักการที่สำคัญในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับสังคมไทยกล่าวคือ
1. ความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมชาติของสังคม
1.1) ความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของมนุษย์ ได้แก่การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความสุข ความทุกข์
ความสมหวังความผิดหวังความผิดหวังซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ
แต่พระองค์ต้องการหาสาเหตุและทางดับทุกข์หรือบรรเทาทุกข์เสีย
1.2) ความเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการกระทำของมนุษย์
ได้แก่
1.2.1 การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง ในระยะเวลาก่อนพุทธกาลนั้น รูปแบบการปกครองหรือระบบการเมืองแบ่งออกเป็น 2
ระบบใหญ่ๆ คือ ราชาธิปไตยหรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งเป็นระบบที่ 4
แคว้นในอินเดีย ตอนเหนือนิยมและมีอำนาจทางการเมืองเข้มแข็งมาก
ส่วนอีก 2 แคว้นที่เหลือนิยมระบอบการปกครองแบบ สามัคคีธรรมที่เทียบเท่าระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน
กล่าวคือการปกครอง การกำหนดนโยบายการออกกฎหมาย การตัดสินปัญหาต่างๆ ผู้ปกครองจะกระทำโดยมีการปรึกษาหารือกันก่อนมีการถือเสียงส่วนมาก
ในการตัดสิน
อย่างไรก็ดีในระยะต่อมา การปกครองแบบสามัคคีธรรมถูกดูดกลืนกลายเป็นราชาธิปไตยหมดสิ้น
ทั้งนี้เนื่องมาจากแคว้นราชาธิปไตยเข้มแข็งกว่า
ได้ขยายอาณาเขตและยึดครองแคว้นที่ปกครองแคว้นที่ปกครองแบบสามัคคีธรรม
1.2.2
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
การขยายอาณาเขตของรัฐหรือแคว้นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก่อให้เกิดการขยายตัวทางการค้ามากขึ้นเมื่อการค้าเจริญเติบโตขึ้น
2.
พุทธศาสนากับการจัดระเบียบสังคม
2.1) การอบรมกล่อมเกลาให้รู้ระเบียบสังคม พุทธศาสนาเป็นที่มาของวัฒนธรรม ค่านิยม
และระเบียบประเพณีที่สำคัญองชนชาวไทย
การอบรมกล่อมเกลาระเบียบสังคมมักจะกระทำผ่านกระบวนการและสถาบันหลายอย่างนามธรรม
และรูปธรรม เช่นวัดและพระสงฆ์
เป็นสถาบันที่ทำหน้าที่ปลูกฝังอบรมกล่อมเกลาระเบียบสังคมแบบพุทธและวิถีชีวิตแบบพุทธ
2.2) เป็นสื่อหรือกลไกในการควบคุมระเบียบสังคม การที่มนุษย์มารวมกันอยู่เป็นสังคมนั้น
จำเป็นที่จะต้องมีการควบคุมให้สมาชิกของสังคมอยู่ในกฎเกณฑ์ ระเบียบแบบแผน
เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความปลอดภัยและสวัสดิภาพของสังคม
พุทธศาสนาเช่นเดียวกับศาสนาอื่นๆ
มีบทบาทสำคัญในการกระทำหน้าที่ดังกล่าวมากวัดและพระสงฆ์เป็นกลไกทางพุทธศาสนาที่สำคัญยิ่งในการอบรมกล่อมเกลาให้ประชาชนเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ
หลักธรรมสำคัญๆ ที่ช่วยควบคุมสังคมตัวอย่างเช่น เบญจศีลเบญจธรรม พรหมวิหาร 4
สังคหวัตถุ 4 เป็นต้น
การที่บุคคลได้รับการสั่งสอน หลักธรรมและยึดถือแนวทางชีวิตร่วมกันจำทำให้สังคมมีความขัดแย้งและลดปัญหาสังคมนานาประการ
2.3) เป็นสื่อในการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในสังคม
การที่พุทธศาสนามีหลักธรรมคำสอนที่โน้มนำให้ประชาชนมีความเชื่อและปรัชญาในการดำเนินชีวิตอย่างเดียวนั้น
เท่ากับเป็นการเสริมสร้างความสามัคคี
และความเป็นปึกแผ่นให้แก่สังคมที่มีบูรณาการทางเชื้อชาติและศาสนาเข้มแข็งจำทำให้มีความมั่นคงแก่ประเทศชาติ เป็นส่วนรวม นอกจากพระธรรมคำสั่งสอนแล้ว
พิธีกรรมและเทศกาลทางพุทธศาสนายังมีส่วนสำคัญในการ เน้นสำนึกความเป็น “พวกเดียวกัน” หรือเป็นคนไทยด้วยกัน
14.1.3 อำนาจการเมืองในทรรศนะของพุทธศาสนา
1. วิวัฒนาการสังคมการเมืองและความจำเป็นต้องมีการปกครอง
วิวัฒนาการของมนุษย์จนกระทั่งก่อตั้งเป็นสถาบันครอบครัวและขยายเป็นสถาบันสังคมที่ใหญ่ขึ้น
จนกระทั่งจำเป็นต้องจัดระเบียบการปกครองให้เป็นระบบขึ้น ในทรรศนะของพุทธศาสนาแล้ว
กระบวนการวิวัฒนาการดังกล่าวมีลักษณะเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ความจำเป็นที่ต้องจัดระเบียบสังคมและระเบียบการปกครองนั้น
เนื่องมาจากความบกพร่องไม่สมบูรณ์ของสังคม อันเนื่องมาจากการขาดความรับผิดชอบ
ความเห็นแก่ตัว
และด้อยศีลธรรมของมนุษย์วิวัฒนาการของสังคมการเมืองอาจพิจารณาได้เป็นขั้นตอนดังนี้
1.1) โลกเกิดจากธาตุซึ่งเดิมมีความร้อนจัด
ต่อมาค่อยๆ เย็นลงและเป็นโลก มีแผ่นดินและพื้นน้ำ
มีอากาศมีฤดูกาล
1.2) มีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น มีพืช สัตว์ และมนุษย์ ตามลำดับมนุษย์ต่างๆ
เหล่านั้นในขั้นแรกมิได้มีผิวพรรณ และเพศ ผิดแผกต่างกัน
ต่างดำรงชีพอยู่บนปัจจัยพื้นฐานคือ อาหาร ซึ่งได้จากพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์
และเป็นทรัพยากร ธรรมชาติส่วนรวม
มนุษย์ยังไม่รู้จักสะสม ความคิดเรื่องทรัพย์สินส่วนบุคคลจึงยังไม่มี
มนุษย์มีความดีพร้อมปราศจากความขัดแย้ง
1.3) มนุษย์เริ่มสูญเสียความดี เมื่อเกิดความแตกต่างทางกายภาพ และผิวพรรณเกิดขึ้นเกิดการเหยียดผิวพรรณเกิดความรู้สึกปฏิพัทธ์ในเพศตรงข้าม
ความรู้สึกเป็นพรรคเป็นฝักฝ่ายเกิดขึ้น
1.4) การสืบพันธุ์เป็นสัญชาตญาณที่สำคัญของมนุษย์
และเป็นเหตุให้เกิดครอบครัวซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสังคม เมื่อเกิดครอบครัวแล้วทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันเฉพาะครอบครัวจึงเกิดความคิดที่จะสะสม
ต้องจัดสรรแบ่งปันทรัพยากรที่มาของการปฏิบัติเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคลเกิดขึ้น
1.5) เมื่อสังคมเติบโตขึ้น
มนุษย์มีมากขึ้นภาวะที่แท้จริงของมนุษย์คือมนุษย์ที่ดีที่ชั่วก็ปรากฏขึ้น อันเนื่องมาจากความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความเกียจคร้าน ผลก็คือทำให้สังคมระส่ำระสาย
สังคมไม่น่าอยู่และผู้คนเดือดร้อน
1.6) ในสภาวะธรรมชาติ มนุษย์ต้องการความสุขความสงบ ความเดือดร้อน
มนุษย์จึงร่วมใจกันหาทางแก้ปัญหาโดยเลือกผู้ที่มีความสามารถ เข้มแข็ง
ทำหน้าที่ขจัดปัดเป่าความระส่ำระสายในสังคม ผู้ที่ได้รับเลือกนี้มีฐานะเป็นหัวหน้าเป็นตำแหน่ง
“มหาชนสมมติ”
2.
การปกครองและผู้ปกครองที่ดีที่สุด
การปกครองที่ดีในทรรศนะของพุทธศาสนาคล้ายคลึงกับทรรศนะทางปรัชญาการเมืองสากล
กล่าวคือ การปกครองที่ดีคือระบอบการปกครองที่มุ่งสร้างสรรค์สังคมมนุษย์
ให้เป็นสังคมที่ดีมีระเบียบ
ให้อยู่ด้วยกันด้วยความสงบสุขและอุดมสมบูรณ์ในระบอบการปกครองเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวแล้ว
ให้ถือว่ากิจกรรมส่วนของสังคม หรือกิจกรรมการเมืองนั้นคือกิจกรรมส่วนรวมของสังคม
เมื่อมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสังคม มนุษย์จำต้องช่วยกันรักษาและทะนุบำรุงผลประโยชน์ส่วนร่วมของเราเอาไว้ในทรรศนะของพุทธศาสนา
ระบอบการปกครองที่ดีอาจจะเป็นระบอบการปกครองแบบใดก็ได้ที่ยึดหลักการที่สำคัญต่อไปนี้
2.1) การได้มาซึ่งอำนาจ การใช้อำนาจ
การขยายอำนาจ
และการรักษาอำนาจไว้ซึ่งอำนาจนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนมากที่สุด
อำนาจของผู้ปกครองมิใช่เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ของตนเอง
แต่เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน
2.2) ความมั่นคงของระบอบการปกครอง หรือของรัฐบาลและผู้ปกครอง มิใช่เป็นจุดหมายในตัวมันเอง
หรือจุดประสงค์สุดท้ายของระบอบการเมืองการปกครอง แต่เป็นเพียงอุปกรณ์หรือเครื่องมือเพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์สุข
สวัสดิภาพ บูรณาการ และความสงบสุขของประชาชน
3.3) ให้ความสำคัญแก่คุณค่าของความเป็นมนุษย์
โดยเน้นความเท่าเทียม
การปราศจากชั้นวรรณะจากชาติกำเนิดความเสมอภาคในทางเพศหมายความว่า
ไม่ถือว่าเพศหญิงมีสถานภาพต่ำกว่าเพศชาย เน้นเสรีภาพด้วยการห้ามการมีทาส
รวมตลอดถึงการการแนะนำให้ใช้หลักเหตุในการพิจารณาตัดสินใจเรื่องต่างๆ
ดังปรากฏในกาลามสูตร
4.4) ยึดธรรมเป็นแนวทางในการปกครอง ธรรมที่สำคัญดังกล่าวได้แก่
4.4.1 ทศพิธราชธรรม คือ คุณธรรมของผู้ปกครอง 10 ประการ
ไม่ว่าจะเป็นราชาหรือรัฐบาลตามความหมายสมัยใหม่
ธรรมที่ผู้ปกครองพึงยึดถือปฏิบัติได้แก่
-
ทาน คือ การบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อยู่ภายใต้การปกครอง
ด้วยการอุทิศตนแก่งานเพื่อความอยู่ดีกินดี ความมั่นคง
ปลอดภัย และความก้าวหน้าของผู้อยู่ใต้ปกครอง
- ศีล หมายถึง การรักษาความสุจริต
เป็นตัวอย่างของความดีงามทั้งด้านความประพฤติการปฏิบัติ
และเป็นที่เคารพนับถือของผู้อยู่ภายใต้การปกครอง
- ปริจจาคะ หมายถึง
การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและความสงบเรียบร้อยของประชาชน
- อาชวะ หมายถึง การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อตรงมีความซื่อสัตย์
ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง
- ตปะ หมายถึง การมีความมั่นคงในด้านจิตใจ ไม่หลงใหลมัวเมาในกิเลสตัณหา
ไม่หมกมุ่นในสิ่งเย้ายวนมุ่งมั่นทำความเพียรเพื่อกระทำกิจให้สมบูรณ์
- มัททวะ หมายถึง
ความมั่นคงในด้านจิตใจ ไม่หลงใหลมัวเมาในกิเลสตัณหา ไม่หมกมุ่นในสิ่งเย้ายวน มุ่งมั่นทำความเพียรเพื่อกระทำกิจให้สมบูรณ์
- อักโกธะ หมายถึงการไม่มีจิตใจครอบงำ ครอบคลุมด้วยอารมณ์โกรธ
ขุ่นมัวกระทำกิจการด้วยจิตสุขุมราบเรียบและเพียบด้วยวิจารณญาณ
- อวิหิงสา หมายถึงการไม่หลงระเริงอำนาจ ไม่บีบคั้น กดขี่
มีความกรุณาไม่หาเหตุเบียดเบียน ลงโทษอาชญาแก่ประชาราษฎร์
ด้วยอาศัยความอาฆาตเกลียดชัง
- ขันติ
หมายถึงความอดทนต่อสรรพสิ่งที่จะเป็นอุปสรรคต่อการปฎิบัติหน้าที่ที่ถูกต้องและความเพียรที่จะปฎิบัติธรรมดี
ไม่ย่อท้อต่อความลำบากทั้งด้านกายภาพและอารมณ์
- อวิโรธนะ หมายถึง การไม่ประพฤติผิดจากประศาสนธรรม
อันถือประโยชน์สุขอันดีงามของรัฐและราษฎร เป็นที่ตั้ง ไม่เอนเอียงด้วยโลภ โมหะ
โทสะ ปกครองด้วยหลักนิติธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งการปกครองอันดีงาม
4.4.2 จักรวรรดิวัตรธรรม คือ ธรรมของนักปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าองค์จักรพรรดิธรรมดังกล่าวมี
12ประการ ดังนี้
-
การอนุเคราะห์คนในราชสำนัก และคนภายนอกให้มีความสุข
ไม่ปล่อยปละละเลย
- การผูกมิตรไมตรีกับประเทศอื่น
- การอนุเคราะห์พระราชวงศานุวงศ์
- การเกื้อกูลพราหมณ์ คหบดี และคหบดีชน คือ
เกื้อกูลพราหมณ์ และผู้ที่อยู่ในเมือง
- การอนุเคราะห์สมณพราหมณ์ผู้มีศีล
- การรักษาฝูงเนื้อนก และสัตว์ทั้งหลายมิให้สูญพันธุ์
- การห้ามคนทั้งหลายมิให้ประพฤติผิดธรรม และชักนำด้วยตัวอย่างให้อยู่ในกุศลสุจริต
- การเลี้ยงดูคนจน เพื่อมิให้ประกอบการทุจริตต่อสังคม
- การเข้าใกล้สมณพราหมณ์ เพื่อศึกษาบุญและบาป กุศล
และอกุศลให้ชัดแจ้ง
- การห้ามมิให้ลุอำนาจแก่ความกำหนัดยินดีในทางที่ผิดธรรม
- การห้ามจิตมิให้ปรารถนาในลาภที่พระมหากษัตริย์มิควรจะได้
4.4.3 ราชสังคหวัตถุ หมายถึงธรรม 4
ประการ ที่เป็นแนวทางในการสงเคราะห์ประชาชนอันได้แก่
- สัสสเมธะ
ฉลาดบำรุงธัญญาหาร คือ ปรีชาสามารถในนโยบายที่จะบำรุงพืชพันธุ์ธัญญาหาร
ส่งเสริมการเกษตรให้อุดมสมบูรณ์
- ปุริสเมธะ ฉลาดบำรุงราชการ คือ ปรีชาสามารถในนโยบายที่จำบำรุงข้าราชการ
ด้ายการส่งเสริมความสามารถ และจัดสวัสดิการให้ดี เป็นต้น
- วาจาไปยะ
มีวาทะดูดดื่มใจ คือ รู้จักพูด รู้จักชี้แจงแนะนำ
รู้จักทักทายถามไถ่ทุกข์สุขราษฎรทุกชนชั้น แม้ปราศรัยก็ไพเราะน่าฟัง
ทั้งประกอบด้วยเหตุผล เป็นหลักฐานมีประโยชน์ เน้นทางแห่งการสร้างสรรค์
แก้ไขปัญหาเสริมความสามัคคีทำให้เกิดความเข้าใจดีความเชื่อถือ และความนิยมนับถือ
4.4.4 ละเว้นอคติ
นักปกครองเมื่อปฏิบัติหน้าที่พึงเว้นความลำเอียง หรือความประพฤติที่คลาดเคลื่อนจากธรรม 4
ประการ
- ฉันทาคติ
ลำเอียงเพราะชอบ
- โทสาคติ
ลำเอียงเพราะความชัง
- โมหาคติ
ลำเอียงเพราะหลงหรือเขลา
- ภยาคติ
ลำเอียงเพราะขลาดกลัว
4.4.5 ยึดธรรมาธิปไตยเป็นหลักปฏิบัติในการใช้อำนาจปกครอง หมายความว่าผู้ปกครองถือธรรมเป็นใหญ่ในการปกครอง คือถือหลักความจริง
ความถูกต้อง ความดีงามเหตุผลเป็นใหญ่กระทำการใดๆ
หลังจากได้พิจารณาไตร่ตรองข้อเท็จจริงและเหตุผลตามที่ได้รับฟังมาแล้วอย่างกว้างขวาง
พิจารณาอย่างดีที่สุดเต็มขีด แห่งสติปัญญา
จะมองเห็นได้ด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าเป็นไปโดยชอบธรรม และเพื่อความดีงาม
กระทำการต่างๆ โดยยึดหลักการ กฎ ระเบียบกติกา
14.1.4 พุทธศาสนากับการพัฒนาสังคม
หลักการที่สำคัญของพุทธศาสนาก็คือ
“สนับสนุนการดำรงชีวิตอันประเสริฐ” แก่นแท้ของพุทธศาสนา
คือ การละเว้นความชั่วทำแต่ความดี และทำจิตใจให้ผ่องใส
การดำรงชีวิตอันประเสริฐนี้
พุทธศาสนาเน้นความมีอิสรภาพและเสรีภาพของมนุษย์ที่จะพัฒนาตนเองเพื่อจะได้ใช้ศักยภาพของตน
พัฒนาชีวิตและสังคม ให้ดีขึ้นเจริญขึ้นทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง
และสังคม
กล่าวโดยสรุป
จุดหมายสุดท้ายของการพัฒนาชีวิต
การดำรงชีวิตอันประเสริฐนั้นจะต้องมุ่งไปที่สังคมโดยส่วนรวมมิใช่เอกบุคคลใดบุคคลหนึ่งสังคมที่พัฒนา
การที่จะสามารถพัฒนาชีวิตและสังคมเพื่อการดำรงชีวิตอันประเสริฐนั้นศาสตราจารย์ดร.ป๋วย
อึ๊งภากรได้กล่าวไว้ว่า สังคมนั้นจะต้องเป็นสังคมที่มีลักษณะที่ดี ดังนี้
1. มีสมรรถภาพ
หมายความว่าบุคคลในสังคมนั้นมีความสามารถที่จะประกอบกิจต่างๆ ให้เกิดประโยชน์ต่างๆ
แก่บุคคลทั้งทางด้านวัตถุ ประโยชน์ทางปัญญาและประโยชน์ทางธรรม ประโยชน์ทางวัตถุ
2. บุคคลในสังคมนั้นมีอิสระเสรีภาพ สังคมใด ๆ
จะมีสมรรถภาพดังกล่าวมาแล้วได้
บุคคลในสังคมนั้นจะมีเสรีภาพเพราะเสรีภาพเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาสมรรถภาพให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม
การมีเสรีภาพทำให้มนุษย์มีอิสระที่จะพัฒนาความสามารถที่จะเลือกจุดหมายและวิถีทางแห่งชีวิต
ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของพุทธศาสนา
3. ความยุติธรรมในสังคม
สังคมจะพัฒนาได้ต่อเมื่อบุคคลในชาติมีความผูกพันต่อกันความผูกพันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อคนในชาติมีสามัคคีธรรม
สามัคคีธรรมนั้นตั้งอยู่บนความยุติธรรมในสังคม ดังนั้น ความยุติธรรมนำไปสู่สันติ
และสันติเป็นมูลฐานแห่งการพัฒนาที่เหมาะสมกับคุณค่ามนุษย์
4. ความเมตตากรุณา
เป็นหลักธรรมสำคัญที่จะให้การพัฒนาสังคมเป็นไปอย่างทั่วถึงและยุติธรรม
หากมีความเมตตากรุณาในสังคมด้วยจะช่วยให้การพัฒนาชีวิตและสังคมเป็นไปโดยสมบูรณ์
เศรษฐกิจที่พัฒนา
เศรษฐกิจเป็นกิจกรรมที่ผูกพันกับ วิถีชีวิตมนุษย์อย่างแน่นแฟ้น
ระดับความเป็นอยู่ที่ดี ทางด้านวัตถุ
ความสะดวกสบายทางด้านกายภาพนั้นขึ้นอยู่กับการพัฒนา
เศรษฐกิจของชาติเศรษฐกิจพัฒนาในทรรศนะของพุทธศาสนานั้นให้ความสำคัญแก่มนุษย์และธรรมชาติมากกว่าผลิตผลและกำไร
การผลิตและการทำงานควรจะเป็นเพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้ใช้และพัฒนาความสามารถส่วนตัวเพื่อช่วยให้มนุษย์ขจัดอัตตา
ด้วยการทำงานร่วมกับผู้อื่น
และเพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตผลและบริการอันจำเป็นแก่การดำรงอยู่
พระพุทธเจ้าทรงชี้แนวทางเศรษฐกิจ ชาวพุทธที่เน้นความเรียบง่ายทั้งสิ่งบริโภคและอุปโภค
แม้ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจ จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ความเป็นอยู่ของมนุษย์สุขสบายแต่ทรรศนะทางพุทธศาสนาปฏิเสธการประเมินคุณค่าของชีวิตด้วยทรัพย์สิน ยศศักดิ์และความมั่นคงทางวัตถุ และปฎิเสธการตีค่ามนุษย์และสิ่งแวดล้อมว่าเป็นเพียงมูลค่าทางเศรษฐกิจที่อาจซื้อขายกันด้วยเงินตรา การพัฒนาเศรษฐกิจตามทรรศนะพุทธศาสนาจึงให้ความสำคัญต่อการยกคุณค่าของมนุษย์ ความยากจน เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้คุณค่าของคนไม่เท่ากัน ดังนั้น การยกคุณค่าของมนุษย์จึงจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาความยากจนของคนส่วนมาก ด้วยการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมรายได้ที่จัดสรรตามวิธีการและกระบวนการเศรษฐศาสตร์แบบพุทธนั้น มุ่งหวังให้สมาชิกในสังคม มีความสงบสุขดำรงชีพด้วยหลักสมถะคือเลี้ยงชีพตามควรแก่กำลังทรัพย์ที่หามาได้ไม่ฝืดเคืองไม่ฟุ่มเฟือย ไม่เดือดร้อนผู้อื่น
แม้ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจ จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ความเป็นอยู่ของมนุษย์สุขสบายแต่ทรรศนะทางพุทธศาสนาปฏิเสธการประเมินคุณค่าของชีวิตด้วยทรัพย์สิน ยศศักดิ์และความมั่นคงทางวัตถุ และปฎิเสธการตีค่ามนุษย์และสิ่งแวดล้อมว่าเป็นเพียงมูลค่าทางเศรษฐกิจที่อาจซื้อขายกันด้วยเงินตรา การพัฒนาเศรษฐกิจตามทรรศนะพุทธศาสนาจึงให้ความสำคัญต่อการยกคุณค่าของมนุษย์ ความยากจน เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้คุณค่าของคนไม่เท่ากัน ดังนั้น การยกคุณค่าของมนุษย์จึงจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาความยากจนของคนส่วนมาก ด้วยการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมรายได้ที่จัดสรรตามวิธีการและกระบวนการเศรษฐศาสตร์แบบพุทธนั้น มุ่งหวังให้สมาชิกในสังคม มีความสงบสุขดำรงชีพด้วยหลักสมถะคือเลี้ยงชีพตามควรแก่กำลังทรัพย์ที่หามาได้ไม่ฝืดเคืองไม่ฟุ่มเฟือย ไม่เดือดร้อนผู้อื่น
14.2
ปรัชญาศาสนาอิสลามกับสังคมปัจจุบัน
14.2.1
อิสลามในทรรศนะดั้งเดิมสมัยศาสดา
อิสลามเป็นศาสนาที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว
พระผู้ทรงสร้างสากลจักรวาล ทรงสร้างโลกและทุกสรรพสิ่ง
รวมทั้งมนุษย์ฉะนั้นอิสลามจึงเป็นศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงประทานเป็นทางนำแก่มนุษยชาติทั้งมวล
ด้วยเหตุนี้ อิสลามจึงเป็นความเมตตาปราณีจากพระผู้บังเกิดชีวิตมนุษย์ อิสลาม
หมายถึง การยอมจำนนยังพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว
ซึ่งนำไปสู่สันติสุขและสันติภาพถาวรของมนุษยชาติ
สารัตถะแห่งคัมภีร์อัลกุรอานเน้นว่า มนุษย์จะภักดีสิ่งอื่น ๆ
เป็นภาคีเทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวไม่ได้
เพราะสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ถูกสร้างเช่นเดียวกับมนุษย์
ไม่สามารถจะให้คุณหรือโทษแต่ประการใดได้เลยมนุษย์มีชีวิตที่สูงส่งและมี
เป้าหมายที่แน่นอนเพราะมนุษย์มีสติปัญญา
มีความคิดและเหตุผลที่จะเลือกเฟ้นในสิ่งต่าง ๆ ได้มนุษย์ถูกบังเกิดให้มาอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเพื่อวิวัฒนาการต่อไปในโลกหน้า
ซึ่งเป็นอีกมติภพหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนจะต้องไปสู่อันหลีกเลี่ยงมิได้และการกระทำทุกอย่างของมนุษย์จะได้รับการพิพากษาตัดสินจากพระผู้ทรงยุติธรรม
1. หลักการเบื้องต้นของอิสลาม
หลักการศรัทธา
ซึ่งมุสลิมทุกคนผู้ที่ศรัทธาในหลักการนี้จะต้องยึดมั่นกับหลักการศรัทธาดังกล่าว
นั้นคือ การศรัทธาในอัลลอฮ์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว
พระองค์ทรงยุติธรรม (อาดิล) ศรัทธาในมวล มะลาอิกะฮ์
ซึ่งเป็นสภาพที่ถูกบังเกิดจากรัศมีของพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นผู้รับบัญชาในกิจการของพระผู้เป็นเจ้ส
ศรัทธาในคัมภีร์ทั้งหลาย รวมทั้งคัมภีร์ อัล-กุรอาน
ซึ่งเป็นคัมภีร์สุดท้ายศรัทธาในศาสดาทั้งหลายและผู้สืบทายาทที่บริสุทธิ์ซึ่งเป็นผู้สืบเจตนารมณ์อิสลามมาจนถึงปัจจุบันศรัทธาในวันสิ้นโลก
(กิยามะฮ์) และ กฎแห่งการตอบแทนความดีความชั่ว ศรัทธาในการต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมตามแนวทางศาสนา
(ญิฮาด) ส่งเสริมสิ่งดีงามและห้ามปรามในสิ่งชั่วร้าย หลักปฏิบัติ
มุสลิมทุกคนผู้ยอมรับหลักการศรัทธาแล้วจะต้องปฏิญาณตนว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์องค์เดียวและมุฮัมมัด
คือศาสนทูตของพระองค์ ต้องดำรงการนมาซ (ละหมาด) วันละ 5 เวลาต้องถือศีลอดในเดือนรอมฎอน”
2. อิสลามกับการปกครอง
2. อิสลามกับการปกครอง
อิสลามเป็นระบอบในการดำเนินชีวิตของมนุษยชาติ ฉะนั้น
การเมืองการปกครองจึงเป็นหลักการของอิสลามด้วยแต่การปกครองของอิสลามนั้นวางอยู่บนหลักการพื้นฐานของคัมภีร์อัล-กุรอาน
และหลักจริยวัตรของท่านศาสดา ซึ่งถือว่าเป็นที่มาของหลักการแห่งนิติศาสตร์
ผู้ปกครองต้องรับผิดชอบเบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าและประชาชนตามหลักการอิสลามต้องรับผิดชอบต่อการปกครองของเขา
ที่จะต้องรักษาผลประโยชน์ของพลเมืองผู้อยู่ใต้การปกครองมิฉะนั้นแล้วประชาชนก็มีอำนาจถอดถอนผู้ปกครองที่อยุติธรรมนั้นได้
การปกครองที่เป็นเผด็จการ นั่นคือ
การใช้อำนาจตามอำเภอใจของผู้ปกครองเองใช้อำนาจกดขี่
เบียดเบียนรีดนาทาเร้นผลประโยชน์ของผู้อยู่ใต้การปกครอง
ใช้อำนาจไปในทางทุจริตทั้งทางด้านการเมืองเศรษฐกิจอันเป็นที่มาแห่งความเดือดร้อนของพลเมือง
ทำให้ชีวิตของพลเมืองถูกบิดเบือนไปจากหนทางแห่งความเที่ยงธรรมไม่สามารถจะเจริญ เติบโตทางด้านความคิดและจิตวิญญาณได้ ฉะนั้น
ผู้ปกครองจะต้องยุติธรรมและมีความรักความเมตตาต่อประชาชนอำนาจ อธิปไตยเป็นของอัลลอฮ์
พระองค์เท่านั้นที่เป็นแหล่งแห่งอำนาจสูงสุดไม่มีอำนาจอื่นใดนอกจากพระองค์พระองค์ทรงเป็น
บ่อเกิดแห่งอำนาจอธิปไตยในการปกครองและในด้านกฎหมาย
พระองค์ทรงชี้นำโดยผ่านศาสดาและบรรดาผู้สืบทอดเจตนารมณ์แห่งอิสลามนี้ให้นำหลักนิติศาสตร์อิสลามมาใช้ปกครอง
เพื่อให้เกิดความยุติธรรม ความจำเริญและความอุดมสมบูรณ์มั่งคั่งแก่ชีวิตของมนุษย์ทุกคน
อำนาจอธิปไตยของพระผู้เป็น เจ้าผู้ใดจะละเมิดมิได้
ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นผู้ปกครองหรือเป็นผู้อยู่ในฝ่ายตุลาการหรือฝ่ายนิติบัญญัติก็ละเมิดอำนาจนี้มิได้
อิสลามกับการเมืองและการปกครองจึงแยกกันไม่ได้
3. อิสลามกับหลักเศรษฐกิจ
อิสลามตระหนักว่าปัจเจกชนทุกคน
ได้รับอิทธิพลทั้งจากปัจจัยภายในซึ่งควบคุมพฤติ
กรรมของมนุษย์ทุกคนและปัจจัยภายนอกที่ผลักดันให้มนุษย์ต้องเข้าสู่สังคมอิสลามจึงไม่ปฏิเสธสิทธิตามธรรมชาติ
ของบุคคลและป้องกันมิให้การใช้สิทธิส่วนบุคคลไปละเมิดสิทธิบุคคลอื่น อิสลามจึงวางหลักกฎหมายครอบครัว
การครอบครองกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล
กฎหมายมรดก อิสลามห้ามกินดอกเบี้ยและสกัดกั้นระบบผูกขาด
และการกักตุนเพื่อต้องการเก็งความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ
4. อิสลามกับวัฒนธรรม
วัฒนธรรมตามทรรศนะของอิสลามนั้น ก็คือชีวิตที่อยู่ภายในบทบัญญญัติและแบบฉบับอันดีงามที่เป็นแบบแผนจากท่านศาสดา
มุฮัมมัด ซึ่งเป็นจอมศาสดาของโลก
วัฒนธรรมต้องได้รับการหล่อหลอมอบรมบ่มนิสัยให้อยู่ในชีวิตจิตใจของทุกคนฉะนั้น
วัฒนธรรมอิสลามก็คือเป้าหมายที่จะทำให้ผู้ศรัทธาในหลักการนี้ที่ชื่อมุสลิมได้มีชีวิต
อยู่ในวัฒนธรรมดังกล่าวซึ่งเป็นวัฒนธรรมอันสูงส่งจากพระผู้เป็นเจ้า ผู้สร้างชีวิต
ที่พระองค์ประสงค์จะให้มนุษย์ดำเนินชีวิตตามวัฒนธรรมที่พระองค์ ต้องการประชาชาติมุสลิม (อุมมะฮ์) เอาไว้ให้จำเริญเติบโตขึ้นภายในขอบเขต
แห่งวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้าที่ได้ทรงชี้นำไว้แล้วในคัมภีร์อัล-กุรอาน
ซึ่งเป็นคัมภีร์แห่งการฟื้นฟูปรับปรุงมนุษยชาติ
จนกระทั่างมนุษย์ได้เจริญพัฒนาการไปในทุก ๆ ด้าน
จนอยู่ในสภาพที่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวได้
นั่นคือมนุษยชาติเป็นประชาชาติเดียวกันอยู่ภายใต้รัฐบาลเดียวกันทั่วโลก ที่น่าสังเกตก็คือว่า
ในรัฐอิสลามนั้นอำนาจทางการเมืองและการปกครองอยู่ภายใต้อำนาจนิติบัญญัติเพราะหลักนิติบัญญัติในอิสลามนั้น
คือพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าดุลยภาพแห่งอำนาจนั้นอยู่ที่การปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติเท่านั้น
รัฐอิสลามมิใช่รัฐในอุดมคติ แต่เป็นรัฐที่มนุษย์จะพึงปฏิบัติการได้อันเป็นแบบฉบับแห่งอุดมการณ์ของอิสลามศาสนา
มิใช่ความคิดเพ้อฝันเลื่อนลอยที่หาขอบเขตมิได้แต่อิสลามเป็นหลักการปฏิบัติจริง
ๆ ในชีวิตจริงๆของมนุษย์ซึ่งวางอยู่บนมโนธรรมสำนึกของมนุษย์ทุกคนที่ยอมรับเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้าและเอกภาพของมวลมนุษย์
ฉะนั้นอิสลามกับการปกครองและการเมืองจึงแยกกันไม่ได้
5. อิสลามกับการศึกษา
การศึกษาเป็นหน้าที่ทั้งชายหญิงเป็นพระบัญญัติในคัมภีร์ อัล – กุรอาน
ตามหลักการอิสลาม มุสลิมจะต้องศึกษาจากอู่เปลถึงหลุมฝังศพ
ต้องศึกษาศาสตร์ทุกแขนงหลักการแห่งคัมภีร์อัล – กุรอาน และเจตนารมณ์ของอิสลามทั้งระบบ
14.2.2 อำนาจอธิปไตยในทรรศนะอิสลาม
อำนาจอธิปไตย คือ อำนาจสูงสุดของอัลลอฮ์ซึ่งเป็นพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว
ทรงสร้างสากลจักรวาลและกฎเกณฑ์ต่างๆ ในธรรมชาติ
พระองค์ไม่อยู่ภายใต้กฎที่พระองค์ทรงบังเกิดแต่สิ่งที่ถูกบังเกิดทั้งมวลจะต้องดำเนินไปตามกฎทุกสรรพสิ่งดำเนินไปตามกฎแห่งเหตุและผล
ตลอดจนถึงส่วนประกอบของสรรพสิ่งที่เป็นไปตามกฎภายในโครงสร้างแห่งเหตุและผลนั้นๆ
1. หลักคัมภีร์ อัล-กุรอาน
อัล - กุรอาน เป็นพจนารถของพระผู้เป็นเจ้า
เป็นคัมภีร์ชี้นำในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมนุษย์ไปสู่สภาพที่สูงส่ง เป็นคัมภีร์ที่ตอบปัญหาชีวิต
และปัญหาอภิปรัชญาทุกอย่าง
อัล-กุรอานเป็นคัมภีร์แห่งการปฏิวัติปลดปล่อยมนุษยชาติให้พ้นจากความงมงายไปสู่สภาพสูงส่งที่จะสร้างสรรค์อารยธรรมแผนใหม่ให้แก่มนุษย์ทุกคน
อัล-กุรอาน เป็นแม่บทแห่งธรรมนูญของประเทศอิสลาม
อัล-กุรอาน เป็นที่มาแห่งอำนาจอธิปไตย
อัล-กุรอานเป็นหลักทฤษฎีชี้นำทุกกิจกรรมของมนุษยชาติเพื่อที่จะให้มนุษย์นำหลักการอันเป็นสากลนั้นมาปฏิบัติประยุกต์ใช้ในทุกสังคมและในทุกยุคทุกสมัยจนถึงกาลอวสานต์ของโลก
2. หลักจริยศาสตร์ของท่านศาสดา มุฮัมมัด
2. หลักจริยศาสตร์ของท่านศาสดา มุฮัมมัด
หลักจริยศาสตร์ของท่านศาสดา มุฮัมมัด นั้น วางอยู่บนหลักคัมภีร์
อัล-กุรอาน ซึ่งเป็นพจนารถของ
พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวเป็นหลักที่เน้นเอกภาพและการกลับคืน สู่พระผู้เป็นเจ้าในวันโลกหน้า
(อาคิเราะฮ์) หลักจริยศาสตร์นี้วางอยู่บนกฎแห่งคุณธรรมซึ่งถูกกำหนดโดยอัลลอฮ์
พระผู้เป็นเจ้าว่า สิ่งใดเป็นความดี สิ่งใดเป็นความชั่ว สิ่งใดจริง สิ่งใดเท็จ
สิ่งใดถูก สิ่งใดผิดสิ่งใดยุติธรรม
สิ่งใดอยุติธรรม สิ่งใดบุญ สิ่งใดบาป
กฎเหล่านี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่มนุษย์ตั้งขึ้นตามความต้องการหรือตามยุคตามสมัยของสังคมแต่เป็น
กฎสากลของพระผู้เป็นเจ้าที่กำหนดลงในบัญญัติแห่งคัมภีร์
3. แหล่งที่มาของกฎหมายอิสลาม
แหล่งที่มาคือคัมภีร์ อัล-กุรอาน และหลักจริยวัตรประพฤติปฏิบัติและวจนะ
ของท่านศาสดา ซึ่งเรียกว่า ซุนนะฮ์
สองหลักนี้เป็นแหล่งที่มาของกฎหมายอิสลามเป็นบรรทัดฐานของการปฏิบัติและการตีความหลักนิติศาสตร์อิสลามอันจะนำมาซึ่งหลักการวินิจฉัยเพื่อปรับให้เข้ากับสถานการณ์แห่งยุคสมัย
อันไม่ขัดกับหลักดั้งเดิมของพระบัญญัติ
14.2.3 อิสลามกับปัญหาปัจจุบัน
ปัญหาในปัจจุบันนั้น
มีทั้งปัญหาระหว่างประเทศซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐปัญหาในระบอบการปกครองตามลัทธิต่าง
ๆ
ที่ได้เคยเสนอต่อมนุษย์และนำมาใช้กันแล้วแต่ก็ไร้ผลปัญหาลัทธิเศรษฐกิจซึ่งก็ได้นำมาใช้กันแล้วในบางประเทศแต่ก็ไร้ผลจนก่อให้เกิดเป็นปัญหาสังคม
วัฒนธรรมติดตามมา อันเป็นผลร้ายต่อความระส่ำระสายของครอบครัวและชีวิตส่วนบุคคลได้ยับยั้งความก้าวหน้าของโลก
ฉะนั้น อิสลามจึงได้เสนอหลักการใหม่แก่มนุษย์ชาติดังที่ได้กล่าวมานั้น
1. อิสลามกับระบอบประชาธิปไตย
ระบอบประชาธิปไตยเป็นผลของลัทธิทุนนิยม
เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดที่ผู้ปกครอง หยิบยื่นมาให้แก่ผู้อยู่ใต้การปกครองในชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
โดยเนื้อแท้ของอิสลามไม่เห็นด้วยกับระบอบประชาธิปไตยแบบนี้
เพราะถือว่าเป็นการหลอกลวงมหาชนไม่ใช่ทางของพระผู้เป็นเจ้าและมนุษยชาติ
2. อิสลามกับลัทธิคอมมิวนิสต์
อิสลามคัดค้านลัทธิวัตถุนิยมอันเป็นพื้นฐานของลัทธิเศรษฐกิจการเมืองของคอมมิวนิสต์
อิสลามไม่ยอมรับแนวคิดการต่อสู้ระหว่างชนชั้นของลัทธิมาร์กซ์
โดยไม่คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงด้านอื่นๆ ในชีวิตของมนุษย์
3. อิสลามกับจักรวรรดินิยม
ความผูกพันอย่างลึกซึ้งระหว่างลัทธิทุนนิยมที่แปรสภาพเป็นนายทุนข้ามชาติในรูปแบบของการล่าอาณานิคมจักรวรรดินิยมจึงพัฒนามาเป็นจักรวรรดินิยมแผนใหม่ที่สัมพันธ์กันอย่างล้ำลึกทั้งเศรษฐกิจ
การเมือง วัฒนธรรม การทหาร
และการทูตมวลมนุษย์ตกอยู่ภายใต้ตาข่ายของมารร้ายทั้งด้านการปกครองและกลุ่มผลประโยชน์ของนายทุนดังกล่าวนั้น
4. อิสลามกับปัญหาครอบครัว
อิสลามถือว่าครอบครัวเป็นสถาบันหลัก
และเป็นพื้นฐานที่จะก่อให้เกิดสังคมที่ดีงามเพราะครอบครัวเป็นหน่วยแรกของสังคม
อิสลามจึงส่งเสริมด้านการแต่งงานเพื่อที่จะได้เกิดสถาบันครอบครัวซึ่งเป็นคุณค่าด้านจิตวิญญาณ
อิสลามส่งเสริมการมีภรรยามากกว่าหนึ่งคนตามเงื่อนไขที่จำเป็นที่จะให้ความสุขและความยุติธรรมได้
5. อิสลามกับความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์
คัมภีร์อัล- กุรอานส่งเสริมวิชาความรู้ทุกๆ
แขนงที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์ทั้งวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ วิทยาศาสตร์ประยุกต์
และวิทยาศาสตร์สังคม
ความรู้ดังกล่าวจะทำให้มนุษย์เป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์แห่งความรู้ของศาสนา
14.3
ปรัชญาศาสนาคริสต์กับสังคมปัจจุบัน
14.3.1 คริสต์ศาสนาในปัจจุบัน
ยุโรปได้มีประสบการณ์อันขมขื่นจากการแข่งขันกันทางศาสนา
การแข่งขันระหว่างศาสนาคริสต์กับอิสลามนำไปสู่สงครามครูเสดอันยาวนานถึงเกือบ 5 ศตวรรษ สร้างความเดือดร้อน ความทุกข์ยาก
และความเสียหายอย่างมากมายแก่ทั้ง 2 ฝ่ายการแข่งขันกันระหว่างนิกายคาทอลิกกับนิกายโปรเตสแตนต์ของคริสต์ศาสนา
ซึ่งต่างก็อ้างว่านับถือพระเยซูด้วยกันนำไปสู่สงครามศาสนาซึ่งแม้จะกินเวลาเพียง
30 ปี
แต่ก็เป็นสงครามที่เข้มข้นมาก
เพราะอยู่ใกล้ชิดกันมากยังความหายนะแก่มนุษยชาติไม่น้อยกว่าสงครามครูเสด
ผลกระทบที่ยังยืดเยื้อต่อมาก็คือบาดแผลทางใจซึ่งฝังแน่นในจิตใจของผู้นับถือศาสนาดังกล่าวอย่างยากที่จะเยียวยาได้ง่าย
ๆ มีความหวาดระแวงต่อกันอยู่เสมอและอาจจะเป็นชนวนให้มีผู้หวังผลทางอื่น
จุดขึ้นเป็นฉากบังหน้าได้ง่ายๆ
จนอาจจะลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนควบคุมไม่ได้ไปก็ได้
คริสต์ศาสนาในปัจจุบันมีสัญญาณส่อให้เห็นว่าได้ตระหนักถึงปัญหานี้
และเรียกร้องให้แก้โดยการเจรจา (Dialogue) ได้มีขบวนการขึ้นมาหลายรูปแบบ
ตั้งแต่ขบวนการเล็กๆ ย่อย ๆ พัฒนามาจนเป็นขบวนการระดับโลก
เพื่อปลุกเร้าความสำนึกในปัญหา ดังกล่าว
จนผู้รับผิดชอบขององค์การศาสนาต้องจัดการอะไรบางอย่างลงไปเพื่อตอบสนองความสำนึกร่วมที่เกิดขึ้นแต่ความหวาดระแวงต่อกันก็ยังมีอยู่มาก
เพราะมีคนจำนวนหนึ่งของทุกกลุ่มที่ไม่แน่ใจว่าการเจรจาดังกล่าวจะเป็นทางไปสู่ความสามัคคีหรืออาจจะเป็นเครื่องเอาเปรียบกันอย่างลึกซึ้ง
จากการพบปะเจรจากันบ่อยๆ
ระหว่างชาวคริสต์ชั้นนำกลุ่มต่าง ๆ ก็ได้ค่อย ๆ เห็นปัญหากันขึ้นมาว่า
คริสต์ศาสนาควรได้ปรับปรุงการตีความหลักคำสอนของพระเยซู
และปรับปรุงการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับสภาพของสังคมปัจจุบันจึงได้มีการถกปัญหาและแถลงการณ์มากมายเกี่ยวกับปัญหาที่สังคมปัจจุบันกำลังเผชิญอยู่
เช่น ปัญหาความยุติธรรมในสังคมและปัญหาสันติภาพของโลกเป็นต้น อย่างไรก็ตาม
ปัญหาเดิม ๆ ก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาจูงใจกันให้นำมาปฏิบัติอย่างจริงจังเช่นกันเช่นปัญหาเรื่องชีวิตส่วนตัวของชาวคริสต์
ชีวิตครอบครัว ชีวิตสังคม ชีวิตการเมือง เป็นต้น
14.3.2 ศาสนาคริสต์กับวิถีชีวิตของชาวคริสต์
ในชีวิตส่วนตัวของชาวคริสต์นั้น
ผู้ที่จะได้ชื่อว่าเป็นชาวคริสต์ในขั้นพื้นฐาน จะต้องเชื่อว่ามีพระเจ้าสูงสุดแต่เพียงองค์เดียว
เป็นผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งและเป็นเป้าหมายสุดท้ายของชีวิตมนุษย์จะต้องเชื่อว่าพระเจ้าองค์เดียวพิจารณาได้ใน
3 ลักษณะซึ่งแต่ละลักษณะมีสถานภาพเป็นบุคคล คือ พระบิดา
พระบุตร และพระจิต หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์จะต้องเชื่อว่า พระเยซู
คือพระบุตรที่มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อนำความรอดมาสู่มนุษย์ ความรอดหมายถึง การได้มีชีวิตพระเจ้าทั้งโลกนี้และตลอดนิรันดรในโลกหน้าคริสต์ชนที่เชื่อคำสอนดังกล่าวแล้ว
ผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ปราศจากบาปและไม่มีจิตใจผูกพันกับบาปจึงจะมีชีวิตพระเจ้าได้หากเพลี่ยงพล้ำทำบาปลงไปก็ให้ขอโทษ
ต่อพระเจ้าและชดใช้กรรมเสียก็จะคืนดีต่อพระเจ้าได้
การชดใช้กรรมหมายความว่าจะต้องคืนดีและชดใช้ความเสียหายแก่เพื่อนมนุษย์ ที่ได้รับความเสียหายจาการทำบาปนั้น ๆ
ตลอดจนการทำความดีถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า เพื่อชดใช้การผิดน้ำพระทัยพระองค์
ผู้ที่หลีกเลี่ยงบาปได้สำเร็จคือไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นแล้ว
ก็ให้มุ่งหน้าประกอบกรรมดีต่อไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
14.3.3 คริสต์ศาสนากับปัญหาของชาวคริสต์
อำนาจการเมืองในทรรศนะของชาวคริสต์ ชาวคริสต์เชื่อและถือเสมอมาว่า
อำนาจการเมืองทั้งหลายมาจากพระเจ้า
เพื่อให้ใช้อำนาจนั้นในทำนองครองธรรมสร้างความสงบสุขและพัฒนาสังคม
การตื่นตัวของชาวคริสต์ต่อปัญหาสังคมปัจจุบัน
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า คริสต์ศาสนาในปัจจุบัน
ตื่นตัวต่อปัญหาสังคมในปัจจุบันอย่างมากโดยเฉพาะในปัญหาเรื่องความอยุติธรรมในสังคมปัจจุบัน
ไม่ว่าทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง
ชาวคริสต์จำนวนมากได้ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสร้างความยุติธรรมดังกล่าวทั้งในด้านการเสนอในแง่ของหลักการและการนำหลักการไปปฏิบัติได้แก่
ในกรณีของปัญหาสังคมต่างๆ ปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง เป็นต้น เช่น การคุมกำเนิด
สันติภาพบนพิภพการจัดระเบียบสังคมใหม่เป็นต้น
หน้าที่ของข้าราชการและนักการเมือง
สันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ปราศัยในทำเนียบของประธานาธิบดีของประเทศฟิลิปปินส์
ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2525 ว่า
พระศาสนจักรให้เกียรติอย่างสูงแก่ผู้รับผิดชอบสาธารณประโยชน์และบริการประชาชน
ผู้ใดได้รับมอบหมายจากประชาชนให้เป็นผู้นำชาติย่อมถือได้ว่ามีภารกิจสูงส่ง
รวมทั้งผู้ที่ประชาชนหวังจะให้เป็นผู้ปฏิรูปและวางแผนให้สังคมมีสภาพสมศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์
อันจะค้ำประกันให้พลเมืองทุกคนไม่ว่าชาย หญิง
หรือเด็กต่างก็ได้รับการดูแลให้มีชีวิตได้อย่างสมศักดิ์ศรีซึ่งอาจพิจารณาโดยสรุปได้
ดังนี้
1. ข้าราชการต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ประชาชน
2. ข้าราชการจะต้องคิดถึงประโยชน์ของประเทศชาติยิ่งกว่าประโยชน์ส่วนตัว
3. ข้าราชการพึงถือว่าได้รับมอบหมายจากประชาชนให้ปฏิบัติการเพื่อประชาชน
4. ข้าราชการพึงถือว่าการได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเป็นเกียรติอันสูงส่ง
การสังคมสงเคราะห์
สันตะปาปาจอห์นปอล ที่ 2 ปราสรัย ณ วันที่ 18
กุมภาพันธ์ 1981 (พ.ศ.2524) ที่ย่านต็อนโต อันเป็นย่านสลัมที่ใหญ่ที่สุดแห่งนครมะนิลา
ทรงเน้นถึงคุณค่าของคนยากจนว่ามีฐานะและศักดิ์ศรีเป็นลูกของพระเจ้า
ซึ่งบุคคลทั้ง 3
ฝ่ายคือคนจนคนรวยและพระศาสนจักรร่วมมือกับรัฐลาบกล่าวคือ
คนจน
ต้องตระหนักในศักดิ์ศรีและหน้าที่ของตนในการพัฒนาตน
คนรวย ให้เป็นคนจนทางจิตใจ
ซึ่งหมายถึงคนรวยที่ไม่ยอมหยุดพักในการแบ่งปันผู้อื่น และนักการเมือง
ซึ่งก็คือผู้มีอำนาจ การเมือง ซึ่งต้องไม่ลืมว่า ตนได้รับมอบอำนาจ
มาเพื่อดูแลผลประโยชน์ส่วนรวม
สันติภาพ
สันตะปาปา จอห์น ปอลที่ 2 ได้เสนอเงื่อนไขของสันติภาพไว้ดังนี้
คือ ประการแรก คือพึงใช้หลักความยุติธรรม ประการที่สอง
พึงเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ประการที่สาม พึงใช้หลักขันติ
เพื่อการสร้างสันติภาพโดยไม่ใช้ความรุนแรงประการที่สี่พึงใช้ความเมตตาโดยยึดถือเขาถือเรา
แบ่งชั้นวรรณะและเชื่อชาติศาสนาตลอดจนลัทธิการเมืองประการสุดท้ายพึงเคารพวัฒนธรรมของกันและกันอย่างจริงใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น