วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

องค์อธิปัตย์กับสังคมการเมือง

องค์อธิปัตย์กับสังคมการเมือง
6.1 ภูมิหลังและสิ่งแวดล้อมของ*โธมัส ฮอบส์  
            1.  สงครามกลางเมืองในอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้อง
          สาเหตุสงครามกลางเมืองซึ่งเริ่มในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1642 มีสาเหตุหลายประการ ประเด็นโดยตรงที่จุดชนวนสงครามได้แก่ จุดยืนที่แตกต่างกันในขั้นพื้นฐานระหว่างกษัตริย์และกลุ่มนิยมกษัตริย์ (cavaliers) กับกลุ่มรัฐสภาซึ่งไม่อาจจะปรองดองกันได้ รัฐสภาได้ยื่นคำขาด 19 ประการต่อกษัตริย์ แต่ได้รับคำปฏิเสธจึงทำให้เกิดสงครามขึ้น การปฏิวัติของอังกฤษในปี ค.ศ.1642–1644 นั้นเป็นการต่อสู่เพื่ออำนาจอธิปไตยในหมู่เกาะอังกฤษซึ่งดึงสกอตแลนด์ และไอร์แลนด์เข้ามาร่วมด้วยผลลัพธ์ของสงครามครั้งแรก ปรากฏว่าฝ่ายรัฐสภาเป็นฝ่ายชนะสงครามกลางเมืองครั้งที่ 2 ของอังกฤษเริ่มโดยมีพวกสก๊อตแลนด์และพวกนิยมกษัตริย์ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างไม่ชอบการปกครองโดยทหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกทหารประกอบไปด้วยพวกหัวอิสระในทางศาสนาทั้ง 2 ฝ่ายมีจุดยืนไม่เหมือนกันในทางศาสนา พวกนิยมกษัตริย์จึงยอมรับการช่วยเหลือจากพวกสก๊อตเพราะมองเห็นว่าจำเป็นเท่านั้นเองสงครามกลางเมืองครั้งที่สองจบลง โดยชัยชนะของโอลิเวอร์ คลอมเวลล์ ชัยชนะครั้งใหม่นี้ฝ่ายทหารไม่ยอมโอนอ่อนต่อกษัตริย์อีกต่อไป
ส่วนฝ่ายรัฐสภากลัวอำนาจของทหารต้องการจะเจรจากับกษัตริย์ท้ายที่สุด ทหารจึงได้ใช้อำนาจยุบสภา และตั้งคณะกรรมการพิพากษาตัดสินสำเร็จโทษพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 โอลิเวอร์ครอมเวลล์ได้รับยกย่องให้ดำรงตำแหน่งเจ้าผู้พิทักษ์ครองอำนาจเยี่ยงกษัตริย์
            2.  สิ่งแวดล้อมทางปรัชญาของโธมัสฮอบส์
          สิ่งแวดล้อมทางปรัชญาของโธมัส ฮอบส์ ได้แก่ ความคิดของกาลิเลโอ ฟรานซิส เบคอน และยูคลิค อิทธิพลของกาลิเลโอที่มีต่อแนวคิดของฮอบส์ ได้แก่สิ่งที่เรียกว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์ สำหรับกาลิเลโอแล้วเขาเน้นการค้นพบทางทฤษฎีว่าสำคัญมากกว่าการทดลอง การทดลองเป็นแต่เพียงเครื่องมือสำหรับชักจูงคนอื่นๆ ให้เห็นจริงตามผู้เสนอเท่านั้นไม่ใช่วิธีการที่จะก้าวไปสู่สาเหตุที่แท้จริง อิทธิพลอีกประการที่กาลิเลโอมีต่อฮอบส์ ได้แก่หลักการของการเคลื่อนไหวและหลักการของความเฉื่อยที่เชื่อว่าวัตถุที่เคลื่อนไหว ถ้าไม่มีสิ่งกีดขวางก็จะเคลื่อนไหวไปเรื่อย ๆ ส่วนเบคอนเน้นว่าวิทยาศาสตร์ในแนวใหม่ควรจะเลิกอ้างอิงบุคคลที่เป็นหลักเสีย ควรจะเริ่มด้วยข้อเท็จจริงจากสิ่งที่สังเกตเห็นได้มากกว่ายึดทฤษฎีที่ยึดถือ แต่ฮอบส์เอามาใช้ในบางส่วนเท่านั้น ส่วนยูคลิคอาจกล่าวได้ว่าเป็นต้นแบบทฤษฎีของฮอบส์เลยทีเดียว เพราะแนวคิดของยูคลิด ทำให้ฮอบส์ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการให้นิยามคำต่างๆ ที่ใช้ในทางรัฐศาสตร์ให้แน่ชัด จากนั้นพยายามที่จะสร้างจุดยืนร่วมกัน จากข้อสังเกตที่ทุกคนยอมรับแล้วอนุมานไปสู่ข้อสรุปที่ต้องการ
        
             3. การประยุกต์วิชากลศาสตร์เข้ากับรัฐศาสตร์
          ปัญหาที่ฮอบส์สนใจคือปัญหาของธรรมชาติและการก่อตัวขององค์การทางการเมืองของรัฐซึ่งฮอบส์เรียกว่า Leviathan ฮอบส์ได้ชำแหละ Leviathan นี้ออกเป็นองค์ประกอบขั้นพื้นฐานคือ มนุษย์ ซึ่งถูกควบคุมโดยการเคลื่อนไหวจิตใจ ฮอบส์สรุปว่าหลักการของการเมือง ก็คือการเข้าใจถึงวิถีทางการเคลื่อนไหวของจิตใจมนุษย์ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจจะไม่รู้สึกได้แต่ผู้ที่อาศัยอยู่  ในรัฐหรือ Leviathan นั้นๆ สามารถรู้ได้ โดยการศึกษาการเคลื่อนไหวของจิตใจของตัวเอง ดังนั้นฮอบส์ จึงมองไปว่าหลักการทางฟิสิกส์ที่กาลิเลโอ ค้นพบอันได้แก่ความเฉื่อยที่ว่าวัตถุใดเคลื่อนไหวอยู่ก็จะเคลื่อนไหวต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีอุปสรรคมาขัดขวาง  สามารถประยุกต์กับจิตใจของมนุษย์ซึ่งเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ ได้เช่นกั้น ภายใต้หลักการของการชอบกับเกลียด อย่างแรกดึงดูดจิตใจ ให้เคลื่อนไหวเข้ามาอย่างหวังผลักดันจิตใจให้หันเหออกห่าง
          4. รัฐศาสตร์ของโธมัส ฮอบส์ กับรัฐศาสตร์ยุคก่อนและยุคหลัง
          ฮอบส์ เชื่อว่าศาสตร์ใหญ่ ๆ ในสมัยของเขามีอยู่ 3 ศาสตร์เท่านั้นคือ ดาราศาสตร์ กลศาสตร์ ศาสตร์ของการเคลื่อนไหวของวัตถุพิเศษที่เคลื่อนไหวได้เอง ซึ่งฮอบส์เรียกศาสตร์ของการเคลื่อนไหวของมนุษย์นี้ว่า รัฐศาสตร์ ฮอบส์มองว่า รัฐศาสตร์ที่เพลโต และอริสโตเติลเขียนไว้นั้นเป็นแต่ความเห็นเท่านั้น เพราะข้อสรุปของนักปราชญ์เหล่านั้นเป็นข้อสรุปในเชิงน่าจะเป็นและสามารถโต้แย้งได้ แต่ปรัชญาของฮอบส์เป็นปรัชญาที่พิสูจน์ได้ และความเป็นตรรกะซึ่งถ้าใครก็ตามที่ยอมรับสมมุติฐานที่ฮอบส์เสนอย่อมต้องยอมรับข้อสรุปของฮอบส์ด้วย ซึ่งฮอบส์คิดว่านี่คือลักษณะที่แท้จริงของวิทยาศาสตร์ กล่าวคือมีความเป็นปรนัยหรือวัตถุวิสัย ซึ่งทุกคนที่ใช้เหตุผลควรจะยอมรับ ฮอบส์เชื่อว่ารัฐศาสตร์ที่แท้จริงเริ่มที่ตัวเขาและสิ้นสุดที่ตัวเขาด้วย
          ฮอบส์มองว่า มนุษย์นั้นเป็นวัตถุพิเศษที่เคลื่อนไหวได้เอง กฎการเคลื่อนไหวของมนุษย์จึงไม่แตกต่างไปจากวัตถุอื่น ๆ และการเคลื่อนไหวต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะแบ่งแยกออกได้เป็น 2 กลุ่ม ตามทิศทางของการเคลื่อนไหว คือ การเคลื่อนไหวเข้าหากันเรียกว่า  ชอบ และการเคลื่อนไหวออกห่างเรียกว่า เกลียด มนุษย์นั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของพลังงาน 2 อย่างนี้คือ ชอบและเกลียด มนุษย์จึงแสวงหาสิ่งที่ตัวเองชอบอยู่ตลอดเวลาดังนั้นโดยธรรมชาติมนุษย์จึงแสวงหาอำนาจอยู่ตลอดเวลา เพราะอำนาจคือสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ได้มาในสิ่งที่ตัวเองชอบ อำนาจเป็นเครื่องมือที่จะทำให้มนุษย์บรรลุถึงสิ่งที่เขาปรารถนาและคุ้มกันสิ่งที่เขามีอยู่ไม่ให้คนอื่นแย่งไป สภาวะธรรมชาติของมนุษย์จึงเป็นสภาวะสงคราม มีการแย่งชิงกันตลอดเวลาและไม่มีกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล ปัจเจกบุคคลถูกผลักดันให้แก่งแย่งช่วงชิง ด้วยสภาวะทางจิตใจ 3 ประการ คือ แข่งขัน หวาดระแวงกัน และการแสวงหาชื่อเสียงเกียรติยศ
          กฎธรรมชาติ นั้นฮอบส์เห็นว่ามีบ่อเกิดจากเหตุผลภายในตัวมนุษย์ซึ่งติดตัวมนุษย์มาแต่กำเนิด
 เหตุผลภายในตัวของมนุษย์จะออกคำสั่งหรือค้นพบโดยประสบการณ์ กฎธรรมชาติมีลักษณะยับยั้งหรือห้ามปรามให้ปัจเจกบุคคลหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่าง  ที่อยากจะกระทำ ในสภาวธรรมชาติมนุษย์ทุกคนมีสิทธิทุกอย่างที่เขาอยากจะได้ รวมทั้งร่างกาย ทรัพย์สินของบุคคลอื่น ๆ ด้วย ดังนั้นในสภาวธรรมชาติจึงไม่มีความมั่นคงสำหรับมนุษย์เลย สัญญาประชาคมนั้นเป็นสัญญาที่เกิดจากความยินยอมพร้อมใจของบุคคลต่าง ๆที่มีมูลเหตุจูงใจในการแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเองโดยตกลงโอนสิทธิตามธรรมชาติไปให้บุคคลอื่นแต่สัญญาประชาคมที่เกิดขึ้นจะไม่โอนสิทธิตามธรรมชาติไปเสียหมดจะยังคงเหลือสิทธิของการป้องกันตัวเองต่อการถูกทำร้าย
            3. กำเนิดของ*องค์อธิปัตยที่มีอำนาจเด็ดขาด
          วิธีการที่จะสร้างอำนาจร่วมขึ้นมาสำหรับคุ้มกันปัจเจกบุคคลจากศัตรูภายนอก ฮอบส์เสนอว่าสมาชิกทุกคนต้องตกลงร่วมกันที่จะโอนสิทธิตามธรรมชาติของตนไปให้บุคคลอื่น ปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจนี้เรียกว่า องค์อธิปัตย์ ฮอบส์มองว่า มนุษย์โดยธรรมชาติถ้าไร้เสียซึ่งองค์อธิปัตย์ ก็มีแนวโน้มที่จะลำเอียงหยิ่งยะโสและต้องการจะล้างแค้นองค์อธิปัตย์จำต้องมีอำนาจ  เด็ดขาดในการบังคับบัญชาสัญญาประชาคมต่อผู้ที่ต้องการจะแหวกขีดจำกัดนี้ออกไปเพื่อกลับสู่สภาวธรรมชาติทั้งองค์อธิปัตย์ และสัญญาประชาคมล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นทั้งสิ้น
            4.  สิทธิและขอบเขตขององค์อธิปัตย์
          ในทรรศนะของฮอบส์ องค์อธิปัตย์ถือกำเนิดจากสัญญาประชาคม จึงมีสิทธิและอภิสิทธิ์เหนือกว่าประชาชน ประชาชนไม่อาจเพิกถอนสิทธิเหล่านี้ไปจากองค์อธิปัตย์ได้ดังนั้นจึงเห็นว่า*ระบอบการปกครองแบบอกาธิปไตย  เป็นระบอบที่เหมาะสมที่สุด
          ในระบอบเอกาธิปไตยนั้น พลเมืองทุกคนโอนอำนาจของเขาให้แก่บุคคลผู้เดียว ฮอบส์มองว่าระบอบเอกาธิปไตยมีความคล่องตัวสูง ในภาคปฏิบัติ ส่วนการที่จะกลัวเป็นทรราชย์นั้น สำหรับฮอบส์คิดว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะใครเป็นก็เหมือนกันถ้าสามารถบังคับสัญญาประชาคมได้
            5.  ขีดจำกัดที่ประชาชนจะเชื่อฟังองค์อธิปัตย์
          ฮอบส์ มีความเห็นว่าเสรีภาพที่แท้จริงของราษฎร หรือขีดจำกัดที่ราษฎรจะเชื่อฟังองค์อธิปัตย์นั้นแฝงอยู่แล้วในสัญญาประชาคม เสรีภาพเหล่านี้ได้แก่ สิทธิในการป้องกันตัวเองต่อการถูก ประทุษร้าย สิทธิในการงดเว้นจากการเสียสละชีวิตตัวเอง หรือสังหารบุคคลอื่น และอาจจะมีเพิ่มขึ้นอีกในสิทธิบางอย่าง เช่น สิทธิในการฟ้องร้ององค์อธิปัตย์ในทางแพ่งในเรื่องบางเรื่อง  เช่น  หนี้สิน ภาษี
            1.  ข้อบกพร่องของทฤษฎีของฮอบส์
          ทฤษฎีการเมืองของฮอบส์ ในประเด็นที่เกี่ยวกับข้อสมมุติของมนุษย์ที่ว่ากลัวตาย และจะยอมละทิ้งการแสวงหาอำนาจหากมีอันตรายของความตายแฝงอยู่ ประเด็นนี้ได้รับการพิสูจน์หักล้างจากนักมานุษยวิทยาว่าไม่จริงเสมอไป ฉะนั้นเครื่องมือที่ฮอบส์เห็นว่าเหมาะสมในการแก้ปัญหาของภัยอันตรายจากสงครามกลางเมือง โดยสร้างอธิปัตย์ที่มีอำนาจสมบูรณ์ขึ้นมาพิทักษ์สันติจึงไม่อาจจะสัมฤทธิ์ผลในทางปฏิบัติได้เสมอไป
            2.  ข้อเสนอแนะของแมคเคียเวลลีเกี่ยวกับองค์อธิปัตย์
          แมคเคียเวลลีแนะว่าองค์อธิปัตย์มีอำนาจอยู่ได้ด้วยความสามารถทางการเมือง (political virtue) ของตนเองมากกว่าการยินยอมโอนอำนาจมาให้จากประชาชน องค์อธิปัตย์จึงไม่อาจจะทึกทักว่าประชาชนยอมเชื่อฟังเขาโดยอัตโนมัติต้องขยันหมั่นเพียรในการหาเสียงและปลูกฝังศรัทธาตัวเขาเองในหมู่ประชาชน ในหนังสือ The Discourse แมคเคียเวลลียังได้พิจารณาถึงรูปแบบทางการเมืองที่มีศูนย์อำนาจ 2 ศูนย์ คือ สาธารณรัฐโรมัน ที่มีสภาซีเนตของคหบดีและมุขมนตรีของสามัญชนศูนย์อำนาจ 2 ศูนย์แม้จะไม่ค่อยลงลอยกันแต่สามารถทำงานร่วมกันได้ เงื่อนไขที่ทำให้อำนาจ  2  ศูนย์อยู่ร่วมกันได้นี้คือคุณธรรมหรือความสามารถ
            3.  บทบัญญัติเกี่ยวกับองค์พระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญไทยกับทฤษฎีของฮอบส์
          จากประเด็นต่างๆ ในรัฐธรรมนูญจะเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย ไม่ได้มีพระราชอำนาจเต็มที่ 12 ประการดังที่ฮอบส์ต้องการ เพราะพระมหากษัตริย์ต้องพึ่งคำแนะนำจากคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎรและศาลในการใช้อำนาจอธิปไตยแต่อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับสถาบันพระมหากษัตริย์ประเทศอื่นๆ
            4.  อิทธิพลของทฤษฎีของฮอบส์ในยุคปัจจุบัน
          ปัจจุบันได้มีนักรัฐศาสตร์หลายท่านที่ทำการวิจัยเชิงประจักษ์เกี่ยวกับชีวิตการเมืองในสหรัฐ ได้พบข้อเท็จจริงที่ตรงกันข้ามกับภาพพจน์ที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมในสหรัฐที่เชื่อว่ารัฐของเขาเป็นอย่างที่ล็อคกล่าว นักรัฐศาสตร์ในเชิงประจักษ์เหล่านี้สรุปว่าปรัชญาของฮอบส์ จะบรรยายวิถีชีวิต และพฤติกรรมทางการเมืองในสหรัฐได้ดีกว่าปรัชญาการเมืองของล็อค
          สรุปแล้ว ปรัชญาทางการเมืองของฮอบส์จึงคู่ควรแก่การศึกษาในยุคปัจจุบันอยู่ต่อไป แม้ว่าจะมีคนคัดค้านและถกเถียงในประเด็นต่าง ๆ ที่เขาเสนออีกต่อไป แต่นั่นเองก็อาจจะถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของฮอบส์ประการหนึ่ง
            *โธมัส ฮอบส์ เป็นนักปรัชญาและนักอักษรศาสตร์ชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากหนังสือที่ชื่อ Leviathan ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับปรัชญาทางการเมืองและการปกครอง ฮอบส์ เข้ามหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดตั้งแต่อายุ 14 และจบการศึกษาชั้นปริญยาตรีเมื่ออายุ 19 ปี สิ่งแวดล้อมทางปรัชญาของโธมัส ฮอบส์ ได้แก่ ความคิดของกาลิเลโอ ฟรานซิส เบคอน และยูคลิค รวมทั้งสงครามกลางเมือง จนเป็นที่มาของแนวคิดสัญญาประชาคม ฮอบส์สิ้นชีพลงในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ.1679 และมีอักษร จารึกบนแผ่นดินที่หลุมฝังศพว่าเป็นผู้มีคุณธรรมและเป็นปราชญ์ที่มีชื่อเสียงทั้งในและนอกประเทศ
            *สงครามกลางเมือง สาเหตุสงครามกลางเมืองซึ่งเริ่มในฤดูร้อนปี ค.ศ.1642 มีสาเหตุหลายประการ ประเด็นโดยตรงที่จุดชนวนสงครามได้แก่ จุดยืนที่แตกต่างกันในขั้นพื้นฐานระหว่างกษัตริย์และกลุ่มนิยมกษัตริย์ (cavaliers) กับกลุ่มรัฐสภา  ซึ่งไม่อาจจะปรองดองกันได้ การปฏิวัติของอังกฤษในปี ค.ศ.1642–1644 นั้นเป็นการต่อสู่เพื่ออำนาจอธิปไตยในหมู่เกาะอังกฤษ  ซึ่งดึงสกอตแลนด์ และไอร์แลนด์เข้ามาร่วมด้วย ผลลัพธ์ของสงครามครั้งแรกปรากฏว่าฝ่ายรัฐสภาเป็นฝ่ายชนะสงครามกลางเมือง  ครั้งที่ 2 ของอังกฤษ เริ่มโดยมีพวกสก๊อตแลนด์และพวกนิยมกษัตริย์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างไม่ชอบการปกครองโดยทหารโดยเฉพาะ  อย่างยิ่ง เมื่อพวกทหารประกอบไปด้วยพวกหัวอิสระในทางศาสนา สงครามกลางเมืองครั้งที่สองจบลง โดยชัยชนะของโอลิเวอร์ คลอมเวลล์ ชัยชนะครั้งใหม่นี้ฝ่ายทหารไม่ยอมโอนอ่อนต่อกษัตริย์อีกต่อไป ส่วนฝ่ายรัฐสภากลัวอำนาจของทหารต้องการจะเจรจา  กับกษัตริย์ ท้ายที่สุด ทหารจึงได้ใช้อำนาจยุบสภาและตั้งคณะกรรมการพิพากษาตัดสินสำเร็จโทษพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 โอลิเวอร์ครอมเวลล์ ได้รับยกย่องให้ดำรงตำแหน่งเจ้าผู้พิทักษ์ ครองอำนาจเยี่ยงกษัตริย์
            *สภาวะธรรมชาติของมนุษย์ ฮอบส์มองว่า มนุษย์แสวงหาอำนาจอยู่ตลอดเวลา เพราะอำนาจคือสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ได้มาในสิ่งที่ตัวเองชอบ อำนาจเป็นเครื่องมือที่จะทำให้มนุษย์บรรลุถึงสิ่งที่เขาปรารถนาและคุ้มกันสิ่งที่เขามีอยู่ไม่ให้คนอื่นแย่งไป สภาวะธรรมชาติของมนุษย์จึงเป็นสภาวะสงคราม มีการแย่งชิงกันตลอดเวลาและไม่มีกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล ปัจเจกบุคคลถูกผลักดันให้แก่งแย่งช่วงชิง ด้วยสภาวะทางจิตใจ 3 ประการ คือ แข่งขัน หวาดระแวงกัน และการแสวงหาชื่อเสียงเกียรติยศ
            *กฎธรรมชาติ ฮอบส์เห็นว่ามีบ่อเกิดจากเหตุผลภายในตัวมนุษย์ซึ่งติดตัวมนุษย์มาแต่กำเนิด เหตุผลภายในตัวของมนุษย์จะออกคำสั่งหรือค้นพบโดยประสบการณ์ กฎธรรมชาติมีลักษณะยับยั้งหรือห้ามปรามให้ปัจเจกบุคคลหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่างที่อยากจะกระทำ ในสภาวธรรมชาติมนุษย์ทุกคนมีสิทธิทุกอย่างที่เขาอยากจะได้ รวมทั้งร่างกายทรัพย์สินของบุคคลอื่น ๆ ด้วย ดังนั้นในสภาวธรรมชาติจึงไม่มีความมั่นคงสำหรับมนุษย์เลย
            *สัญญาประชาคม สัญญาประชาคม นั้นเป็นสัญญาที่เกิดจากความยินยอมพร้อมใจของบุคคลต่าง ๆ ที่มีมูลเหตุจูงใจในการแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเอง โดยตกลงโอนสิทธิตามธรรมชาติไปให้บุคคลอื่น แต่สัญญาประชาคมที่เกิดขึ้นจะไม่โอนสิทธิตามธรรมชาติไปเสียหมด จะยังคงเหลือสิทธิของการป้องกันตัวเองต่อการถูกทำร้าย
            *องค์อธิปัตย์ วิธีการที่จะสร้างอำนาจร่วมขึ้นมาสำหรับคุ้มกันปัจเจกบุคคลจากศัตรูภายนอก ฮอบส์เสนอว่าสมาชิกทุกคนต้องตกลงร่วมกันที่จะโอนสิทธิตามธรรมชาติของตนไปให้บุคคลอื่น ปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจนี้เรียกว่า องค์อธิปัตย์ในทรรศนะของฮอบส์ องค์อธิปัตย์ถือกำเนิดจากสัญญาประชาคม จึงมีสิทธิและอภิสิทธิ์เหนือกว่าประชาชน ประชาชนไม่อาจเพิกถอนสิทธิเหล่านี้ไปจากองค์อธิปัตย์ได้ ดังนั้นจึงเห็นว่าระบอบการปกครองแบบเอกาธิปไตย เป็นระบอบที่เหมาะสมที่สุด

            *ระบบเอกาธิปไตย ระบอบเอกาธิปไตยนั้น พลเมืองทุกคนโอนอำนาจของเขาให้แก่บุคคลผู้เดียว ฮอบส์มองว่าระบอบเอกาธิปไตย มีความคล่องตัวสูงในภาคปฏิบัติ ส่วนการที่จะกลัวเป็นทรราชย์นั้น สำหรับฮอบส์คิดว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะใครเป็นก็เหมือนกัน ถ้าสามารถบังคับสัญญาประชาคมได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น