ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับปรัชญาการเมือง
๑.ความหมายของปรัชญาการเมือง
ปรัชญาการเมือง เป็นสาขาหรือแขนงหนึ่งของปรัชญา (Philosophy) ปรัชญาตามความหมายดั้งเดิม หมายถึง
ความรักในปัญญา (love
of wisdom)
หรือ การแสวงหาปัญญา (quest
for wisdom) แต่ผู้ที่แสวงหาปัญญาหรือปรัชญาเมธี (philosopher)
แสวงหาปัญญาในเรื่องที่เกี่ยวด้วยอะไร
หลักฐานที่ปรากฏแสดงว่าปรัชญาเมธีคนแรก ๆ ได้แก่ ผู้ที่พูดถึง “ธรรมชาติ” เพราะฉะนั้น
ธรรมชาติจึงเป็นสาระสำคัญของปรัชญา
แต่ “ธรรมชาติ”
หมายถึงอะไร
คำตอบก็คือว่า ธรรมชาติ หมายถึง
คุณลักษณะ (character) ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง “มี” หรือ
“เป็น” หรือ “กระทำ” หากธรรมชาติเป็นสิ่งที่จะต้องถูกต้นพบ การค้นพบธรรมชาติ หมายถึง
การแยกแยะปรากฏการณ์ทั้งหลายออกเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นธรรมชาติ และปรากฏการณ์ที่ไม่ใช่ธรรมชาติ ดังนั้น
ปรัชญาเมธี คือ ผู้ที่แสวงหาและแยกแยะปรากฏการณ์ดังกล่าวออกจากกัน นั่นเอง
ชีวิตของมนุษย์ก่อนที่จะเกิดปรัชญา คือ
ชีวิตที่มีรากฐานอยู่บนขนบประเพณี
โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว
การมีชีวิตที่มีรากฐานอยู่บนขนบประเพณี ก็คือ
การยอมรับว่าสิ่งที่ดีคือสิ่งที่ได้มีการปฏิบัติติดต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน
และสิ่งที่เป็นสิ่งที่ยอมรับกันมาช้านานนี้เป็นส่วนหนึ่งของตนเองและเป็นของที่ดีด้วย ฉะนั้น
ในชุมชนที่ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมดังกล่าวย่อมถือว่าปรัชญาเป็นของแปลกใหม่ ย่อมถูกมองว่าเป็นสิ่งที่เลวร้าย เช่น
ชุมชนที่นับถือพระอาทิตย์ว่าเป็นเทพเจ้า
ย่อมไม่พอใจกับผู้ที่เสนอความเห็นว่า
พระอาทิตย์เป็นเพียงก้อนหินหรือลูกไฟ
เป็นต้น
การเกิดของปรัชญาหรือการค้นพบธรรมชาติ
จึงนำไปสู่การตั้งข้อสงสัยเอากับขนบธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติกันมาของชุมชน จากแง่ของปรัชญาเมธีนั้น การกระทำดังกล่าวแท้จริง ก็คือ
ความพยายามที่จะทดแทนสิ่งซึ่งเก่าแก่ด้วยสิ่งที่ดี เพราะนักปรัชญา เชื่อว่า
สิ่งที่ดีโดยธรรมชาตินั้นย่อมเก่ากว่าขนบธรรมเนียมใด ๆ ทั้งสิ้น
เพราะธรรมชาติย่อมมีมาก่อนขนบธรรมเนียมทั้งปวง
และธรรมชาติย่อมอยู่เหนือข้อจำกัดหรือขอบเขตของสิ่งที่เรียกว่า ประวัติศาสตร์
สังคม ศีลธรรม ศาสนา
แนวโน้มของปรัชญาที่จะเกี่ยวโยงเอาปัญหาของมนุษย์เข้าไว้ด้วยกัน เริ่มต้นด้วย
โสเกรตีส
เพราะโสเกรตีสเป็นผู้เริ่มตั้งคำถามประเภทที่ว่า อะไรคือความดี
อะไรคือความกล้าหาญ
อะไรคือความยุติธรรม
อย่างจริงจัง การตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิต ศีลธรรม
สิ่งที่ดีและสิ่งที่ชั่วของโสเกรตีส
ในแง่หนึ่งนั้น กลายเป็นการตั้งข้อสงสัยเอากับรากฐานที่สำคัญที่สุดของชุมชนการเมือง
เพราะสังคมมนุษย์ไม่ว่าจะอยู่รวมกันในลักษณะใด
หากจะอยู่รวมกันได้ก็ต้องมีข้อสมมติฐานร่วมกันอยู่ระดับหนึ่งเสมอว่า อะไรคือสิ่งที่ดี อะไรคือสิ่งที่ยุติธรรม
การตั้งคำถามของโสเกรตีสซึ่งมักจะเริ่มต้นจากความเห็นที่คนทั่วไปยอมรับ แล้วนำไปสู่การชี้ให้เห็นว่าความเห็นของมนุษย์อาจขัดกันได้ จึงเป็นการปฏิเสธว่า
ความยุติธรรมที่กฎหมายเชื่อถือกันนั้นเป็นความยุติธรรมที่แน่แท้หรือเป็นความยุติธรรมตามธรรมชาติ การปฏิเสธเช่นว่านี้ชี้ต่อไปว่า
น่าจะมีความยุติธรรมหรือความดีที่เป็นโดยธรรมชาติที่เราอาจล่วงรู้ได้อยู่ การแสวงหา “ธรรมชาติ”
ของความยุติธรรมหรือความดี
และการตั้งคำถามอื่น ๆ ที่เกี่ยวโยงกับมนุษย์และชุมชนการเมืองนี้แหละ คือ
จุดเริ่มต้นของปรัชญาการเมือง
ลักษณะเด่นของคำถามที่โสเกรตีสถาม คือ มักเป็นคำถามที่ขึ้นต้นด้วย “อะไรคือ...?”
คำถามของโสเกรตีส ที่ว่าอะไรคือความดี อะไรคือความยุติธรรม
เป็นการชี้ให้เห็นลักษณะอันเป็นสากลของความดีและความยุติธรรม ชี้ให้เห็นว่า
ความดีและความยุติธรรม
มีธรรมชาติของตัวเอง
เป็นอิสระจากความเป็นทั้งปวง
โสเกรตีส ได้รับการยกย่องให้เป็น “บิดาของปรัชญาการเมือง” ที่ปรัชญาของโสเกรตีส กลายเป็นปรัชญาการเมือง เพราะการกระทำที่มีลักษณะเป็นการเมืองนั้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในชุมชนใด
ย่อมเป็นการกระทำที่มุ่งจะเปลี่ยนแปลงหรือคงรักษาไว้
เมื่อมุ่งจะเปลี่ยนแปลงก็ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า และเมื่อมุ่งที่จะรักษาก็ต้องมุ่งรักษาสิ่งที่ดีไว้ไม่ให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวลง นั่นคือ
การกระทำทางการเมืองย่อมต้องมีความรู้ในเรื่องสิ่งที่ดีและสิ่งที่เลวเป็นเครื่องชี้ทางเสมอ ดังนั้น
ปรัชญาการเมือง จึงหมายถึง ความพยายามที่จะทดแทนความเห็น (opinion)
ในเรื่องธรรมชาติของการเมืองด้วยความรู้ในเรื่องธรรมชาติของสิ่งที่เป็นการเมือง
ทั้งยังเป็นความพยายามที่จะรู้ทั้งธรรมชาติของสิ่งที่เป็นการเมืองและระเบียบทางการเมืองที่ถูก ที่ดี ด้วยพร้อม ๆ กัน
๒.ลักษณะของปรัชญาการเมืองคลาสสิก
ลักษณะสำคัญของปรัชญาการเมืองที่โสเกรตีสเป็นผู้เริ่มต้น และสืบทอดผ่านมาทางเพลโตและอริสโตเติล อยู่ที่การแสวงหาคำตอบว่า
ระเบียบทางการเมืองที่ดีที่สุดเป็นสากลนั้นเป็นอย่างไร ปรัชญาการเมืองคลาสสิกพิจารณาประเด็นทางการเมืองและประเด็นทางศีลธรรมจากแง่ความสมบูรณ์ของมนุษย์เป็นหลัก กล่าวคือ
ปรัชญาเมธีคลาสสิกทั้งหลายเห็นพ้องต้องกันว่า เป้าหมายสูงสุดของชีวิตการเมือง คือ คุณธรรม
ดังนั้น ปรัชญาการเมืองคลาสสิก
จึงไม่ยกย่องสรรเสริญความเสมอภาคหรือการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ว่าเป็นสิ่งสูงสุด
ปรัชญาเมธีคลาสสิกไม่ใช่ผู้นิยมความเสมอภาค สำหรับพวกเขาแล้ว มนุษย์ทุกคนไม่ได้ถูกสร้างมาโดยธรรมชาติให้มีความโน้มเอียงต่อคุณธรรมอย่างเท่าเทียมกัน
ในขณะที่บางคนมีความสามารถโดยธรรมชาติอยู่แล้ว บางคนก็ไม่มีเลย
และบางคนก็อาจมีได้ถ้าได้รับการแนะนำที่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้
การกำหนดให้สิทธิแก่มนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ในขณะที่คนบางคนเป็นผู้สูงส่งกว่าผู้อื่นโดยธรรมชาติ
จึงเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมสำหรับปรัชญาเมธีคลาสสิกทั้งหลายไป เพราะฉะนั้น
จากทรรศนะของปรัชญาเมธีคลาสสิก
รัฐที่ดีที่สุด จึงได้แก่ รัฐที่มีการปกครองแบบอภิชนาธิปไตย (aristocracy) หรือรัฐผสม
(mixed regime)
ปรัชญาเมธีคลาสสิกยอมรับว่า โอกาสที่จะได้มาซึ่งรัฐที่ดีที่สุดนั้น ขึ้นอยู่กับโอกาส ขึ้นอยู่กับโชคชะตา เช่นเดียวกับที่โสเกรตีส ใน Republic ของเพลโต กล่าวว่า “เมื่อราชากลายเป็นปรัชญาเมธี หรือ
เมื่อปรัชญาเมธีกลายเป็นราชาเท่านั้น
รัฐที่ดีที่สุดจะเกิดขึ้นได้”
การตระหนักในโอกาสแห่งความเป็นไปได้ของรัฐในอุดมคตินี้เอง ที่ทำให้ปรัชญาการเมืองคลาสสิก กลายเป็นบทวิจารณ์อันสำคัญสำหรับความใฝ่ฝันในทางการเมืองหรืออย่างที่เรียกกันในปัจจุบันว่า
“ยูโทเปีย” นั่นเอง
ปัญหาที่สำคัญในทางปฏิบัติของปรัชญาเมธีคลาสสิกทั้งหลายอยู่ที่ว่า
ทำอย่างไรคำสอนเกี่ยวกับรัฐที่ดีที่สุดของตน
จึงจะไม่เป็นการทำลายล้างความจงรักภักดีที่พลเมืองมีต่อรัฐปัจจุบัน ซึ่งย่อมจะเป็นรัฐที่ไม่สมบูรณ์เมื่อเปรียบเทียบกับรัฐที่ดีที่สุด
คำสอนของปรัชญาการเมืองคลาสสิกจึงต้องมีลักษณะที่ซ่อนเร้นบางประการแอบแฝงอยู่บ้าง ทั้งนี้
ก็เพื่อให้คำสอนนั้นมีประโยชน์โดยตรงต่อรัฐบุรุษ
แต่ไม่ให้เป็นสิ่งที่เลวร้ายสำหรับความรู้สึกชาตินิยม หรือความรู้รักถิ่นฐานบ้านเกิดของผู้ที่ไม่ใช่ปรัชญาเมธีหรือรัฐบุรุษ
๓.สาระสำคัญของการศึกษาปรัชญาการเมือง
ปรัชญาการเมือง เป็นวิชาประยุกต์สาขาหนึ่ง มุ่งศึกษาวิเคราะห์ประเมิน
แสวงหาและสร้างแนวคิดอันเป็นสัจจะทางการเมือง อีกนัยหนึ่ง ปรัชญาการเมือง
เป็นวิชาว่าด้วยความคิดเกี่ยวกับการตีความ การสร้างและกำหนดสิทธิ หน้าที่ ตลอดถึงความสัมพันธ์แบบฉบับ
ในการดำเนินชีวิตร่วมกันของมนุษย์ ยิ่งกว่านี้ยังเป็นวิชาว่าด้วยโครงร่างทางความคิด
และความเชื่อถือที่ถือเป็นสูตรทางการเมืองพร้อมกับการให้เหตุผล วิเคราะห์
ข้อเสนอแนะ เพื่อเป็นแนวทางสร้างสถาบัน อุดมคติ นโยบาย และวัตถุประสงค์ทางการเมือง
๔.ประวัติความเป็นมาของปรัชญาการเมือง
ในทางวิชาการแล้วถือกันว่า
ปรัชญาการเมือง
เป็นแขนงหรือสาขาวิชาหนึ่งของปรัชญา
ซึ่งปรัชญาเองก็ได้ศึกษาที่เกี่ยวโยงเอาปัญหาของมนุษย์เข้าไว้ด้วย เริ่มต้นด้วย
โสเกรตีส เพราะโสเกรตีส เป็นผู้เริ่มตั้งคำถามทำนองที่ว่า อะไรคือความดี อะไรคือความกล้าหาญ อะไรคือความยุติธรรม อย่างจริงจัง จะเห็นได้ว่า
คำถามเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะใกล้ตัวมนุษย์ยิ่งกว่าคำถามที่ปรัชญาเมธีรุ่นแรก
ๆ ตั้งเท่านั้น
หากแต่มีการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงและโดยตรงต่อความเห็นในเรื่องทางการเมืองของชุมชนอีกด้วย
๕.ประเภทของปรัชญาการเมือง
เมื่อกล่าวประวัติศาสตร์แห่งการศึกษาปรัชญาการเมือง
ตั้งแต่ยุคโบราณเรื่อยมา จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
สามารถแบ่งประเภทของปรัชญาการเมืองได้ ดังนี้
๑.ปรัชญาการเมืองคลาสสิก
(Classical
Political Philosophy)
โดยมีโสเครตีส
เป็นผู้เริ่มต้น และสืบทอดผ่านมาทางเพลโตและอริสโตเติลตามลำดับ สาระสำคัญของปรัชญาการเมืองคลาสสิกก็คือ เป็นเรื่องของการต่อสู้เพื่อดำรงรักษา และ
พัฒนาชุมชนขนาดเล็กให้มีความเจริญก้าวหน้าในการปกครองตนเอง
มีเศรษฐกิจที่พึ่งตนเองได้
มีความสำเร็จในการจัดองค์การทางการเมืองการปกครอง ทางเศรษฐกิจและสังคม
ความสำเร็จเหล่านี้นับเป็นปรากฎการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์อารยธรรมของมนุษยชาติ
๒.ปรัชญาการเมืองสมัยใหม่
(Modern
Political Philosophy)
ปรัชญาการเมืองสมัยใหม่
เป็นปฏิกิริยาที่มีต่อผลของศาสนาคริสต์ที่แตกแยกออกเป็นนิกายต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังปฏิเสธโครงร่างปรัชญาการเมืองคลาสสิกว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกด้วย
๓.ปรัชญาการเมืองในปัจจุบัน
อาจกล่าวได้ว่า
ในปัจจุบันนี้ฐานะของปรัชญาการเมืองค่อนข้างจะได้รับความสนใจและเอาใจใส่น้อยลงหรือตกต่ำลง ทั้งนี้
ก็เพราะสังคมศาสตร์ (Social Science)
ได้ยอมรับเอาข้ออ้างทางวิทยาศาสตร์มาเป็นข้ออ้าง และบรรทัดฐานของตน กล่าวคือ
สังคมศาสตร์ ปัจจุบันถือว่า
ความรู้ทางสังคมศาสตร์ที่มีหลักเกณฑ์อย่างทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Knoredge) เท่านั้นที่เป็นความรู้อย่างแท้จริง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า
ความรู้ทางสังคมศาสตร์ต้องเป็นความรู้ที่อาจมีการพิสูจน์
หรือทดลองอย่างใดอย่างหนึ่งได้เช่นเดียวกันกับกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์
สังคมปัจจุบันถือว่า ความเห็นของโสเครตีสในเรื่องของความดี ความกล้าหาญ
ความยุติธรรม ล้วนแต่เป็นเรื่องซึ่งไม่มีหลักเกณฑ์ที่ตายตัวหรือแน่นอนคงที่และไม่อาจพิสูจน์ให้เห็นจริงได้โดยหลักเกณฑ์แบบวิทยาศาสตร์
หลักการของปรัชญาเมธีไม่ว่าจะเป็นโสเครตีส
เพลโต หรืออริสโตเติล ก็เป็นเสมือนเพียงระบบค่านิยม
ในบรรดาค่านิยมทั้งหลายเหล่านั้น
๖.ความสำคัญและประโยชน์ทางการศึกษาปรัชญาการเมือง
ศาสตราจารย์พิเศษจำนงค์ ทองประเสริฐ ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญ
และประโยชน์ของการศึกษาปรัชญาเป็นเบื้องต้นว่า
ถ้าหากคนในสังคมมีปรัชญาสำหรับดำเนินชีวิต ก็จะทำให้คนเรามีหลักการ และมีเหตุผลมากขึ้น
การใช้อารมณ์หรือทิฏฐิมานะเข้าต่อสู้กันอย่างสัตว์เดรัจฉานก็คงจะหมดไป หรือจะลดน้อยลง ทั้งนี้
ก็เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐประเภทเดียวที่พอจะสอนให้มีเหตุมีผลได้ การที่เขาไม่มีเหตุผล อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยศึกษาเล่าเรียน
ไม่เคยมีใครอบรมสั่งสอนเขาให้มีเหตุผลก็ได้
ในแง่ประโยชน์ของปรัชญาการเมือง นอกจากที่กล่าวมาในประโยชน์ของการศึกษา ปรัชญาเป็นเบื้องต้นแล้ว
ปรัชญาทางการเมืองมีประโยชน์ในแง่ที่มีขอบเขตในการอธิบายสิ่งต่าง ๆ
กว้างขวางกว่าวิทยาศาสตร์และวิธีการต่าง
ๆ
หลากหลายแบบหลายประเภทซึ่งอาจไม่เป็นวิธีการในแนววิทยาศาสตร์เสมอไป ปรัชญาทางการเมืองจึงไม่มีลักษณะเป็นทฤษฎี
แต่ก็อาจถือว่าเป็นแนวคิดที่จะพยายามอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองการปกครองที่ดีที่สุด
ประโยชน์แห่งปรัชญาทางการเมือง
ที่เห็นได้ชัด ก็คือ เป็นเสมือนหนทางที่ช่วยให้มนุษย์สามารถค้นหาสิ่งซึ่งตนปรารถนาที่จะรู้ แต่สิ่งนั้นยังเป็นสิ่งลี้ลับ ไม่อาจจะรู้ได้อย่างชัดเจน
ซึ่งเป็นเรื่องที่จะยังประโยชน์นำมาสู่สันติสุขในแง่ของการเมืองการปกครองของมนุษยชาติตลอดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น