ปรัชญาผู้ปกครองในคัมภีร์อรรถศาสตร์ของเกาฏิลยะ
1. บทวิพากษ์เบื้องต้นเกี่ยวกับอรรถศาสตร์ของเกาฏิลยะ
ในการศึกษาเกี่ยวกับอรรถศาสตร์ผู้ศึกษาต้องประสบปัญหาที่สำคัญอันนำมาสู่ข้อจำกัดสองประการ
ประการแรก ความรู้เกี่ยวกับตัวผู้เขียน
คือ เกาฏิลยะ ว่ามีตัวตนจริงหรือไม่
ประการที่สอง
ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับอรรถศาสตร์ว่าเป็นผลงานที่เกิดขึ้นจริงในสมัยกันแน่
แต่ความสำคัญที่เป็นที่น่าสนใจของอรรถศาสตร์ที่ควรค่าแก่การศึกษามีหลายประการตั้งแต่วิธีการนำเสนอที่ผู้เขียนมิได้มีการนำเสนอความคิดของตนออกมาในทันทีทันใด
แต่กล่าวถึงคำสอนอื่นก่อน
และมีการยกการกระทำของกษัตริย์ในการเป็นมาตรฐานในการประเมินคำสอนผู้อื่นอยู่เสมอ
เป็นต้น ในด้านเนื้อหา อรรถศาสตร์มีความยาวถึง 15
เล่มแบ่งออกเป็น 180 ตอนละ150 บท เช่น เล่มหนึ่งว่าด้วยเรื่องของกษัตริย์
เล่มที่สองว่าด้วยเรื่องของการบริหารบ้านเมืองเล่มที่สามถึงเล่มที่สี่ว่าด้วยเรื่องของกฎหมายเป็นต้น
2. อรรถศาสตร์ ในฐานะปรัชญาของผู้ปกครอง
สาระสำคัญของอรรถศาสตร์ตามทรรศนะของเกาฏิลยะเห็นว่าศาสตร์ทั้งปวงมีสี่ประการ
ประกอบด้วย
(1) ปรัชญาหรือตรรกวิทยา
ถือเสมือนหนึ่งเป็นดวงประทีปและกุญแจที่จะนำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องของศาสตร์ทั้งปวง
(2) พระเวท เป็นสิ่งที่กำหนดหน้าที่ต่าง ๆ ของบุคคลในแต่ละวรรณะ
ถือเป็นกรอบของระเบียบของสังคมที่ชีวิตมนุษย์จะต้องเป็นไปตามนั้น
(3) เศรษฐศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ทำให้เกิดธัญญาหารแลความอุดมสมบูรณ์พูนสุขแก่สังคม
(4) ศาสตร์แห่งการปกครอง
เป็นรากฐานของศาสตร์ทั้งปวง
ซึ่งอาจเรียกอีกนัยหนึ่งว่าเป็นศาสตร์ของการลงโทษทัณฑ์ ของผู้กระทำผิดของผู้ปกครองนั่นเอง
ในบรรดาองค์ประกอบของรัฐทั้งเจ็ดประการ กษัตริย์ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของรัฐ
รองลงไป คือ มุขมนตรีประชาชนหรือประเทศ ป้อมปราการ การคลัง กองทัพ และพันธมิตร
ตามลำดับ ซึ่งองค์ประกอบของรัฐเหล่านี้อาจลดลงมาเหลือเพียงส่วนเดียวได้ คือ กษัตริย์
ที่เหลือทั้งหมดล้วนแล้วแต่ขึ้นตรงต่อกษัตริย์ทั้งสิ้น
ความสำคัญของกษัตริย์มาจากการถือเป็นต้นตอของความยุติธรรม เมื่อกษัตริย์ได้ปฏิบัติตามหน้าที่และตามกฎของธรรมะอย่างเหมาะสมในแง่กิจการภายนอกมาจากกษัตริย์เป็นผู้อยู่ในฐานะผู้ปกป้องรัฐและผู้ใช้นโยบายต่างประเทศ
และในแง่กิจการภายในประเทศกษัตริย์จะอยู่ในฐานะผู้ควบคุมดูแลให้ราษฎรปฏิบัติตามหน้าที่ของตน
13.2
ปรัชญาผู้ปกครองตะวันออก : กรณีของฮั่นเฟจื้อ
ในทรรศนะของเกาฏิลยะ
ผู้ปกครองจะต้องมีวิธีการเพื่อการสร้างชีวิตี่ดีของชุมชนหรือรัฐ ซึ่งเป็นเป้าหมายประการสำคัญของรัฐ
ทั้งนี้โดยคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ปกครองจะต้องเป็นผู้มีขันติธรรมและตระหนักถึงเป้าหมายประการสำคัญของรัฐทั้งนี้โดยคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ปกครองจะต้องเป็นผู้มีขันติธรรมและตระหนักถึงผลของความชั่วร้ายส่วนฮั่นเฟจื๊อก็มีทรรศนะที่คล้ายคลึงกับเกาฏิลยะในแง่ของการมุ่งเน้นวิธีการ
ได้แก่ กฎหมาย และการสวัสดิการเพื่อสร้างความสุขแก่สังคม ความคิดของฮั่นเฟจื๊อจัดอยู่ในสำนักความคิดที่เรียกว่าสำนักนิตินิยม
legalism) ที่มีสมมติฐานสำคัญ คือ มนุษย์มีความชั่วร้าย
ทางออกสำคัญของเรื่องนี้ คือ การให้ความสำคัญกับอำนาจของกฎหมายและรัฐในการสร้างสวัสดิการแก่มนุษย์เพราะกฎหมายแลทัณฑอำนาจจึงทรงความสำคัญ
ในฐานะวิธีการยังให้เกิดความสุขในชุมชนซึ่งเป็นเป้าหมายสุดท้ายของสำนักนิตินิยม
2. *ฮั่นเฟจื๊อ
: ชีวิตและปริบททางสังคม
ฮั่นเฟจื๊อ (280-233 ปีก่อนคริสต์กาล)
เป็นนักปรัชญาการเมืองคนสำคัญของจีนที่มาจากครอบครัวชั้นสูง และผ่านการศึกษาจากซุนจื๊อ
นักปรัชญาสำนักขงจื๊อ และเสนอแนวคิดทางด้านการปกครองโดยผ่านหนังสือไปให้กับกษัตริย์แคว้นฮั่นแต่ไม่ได้รับความสนใจ
จวบจนกระทั่งยุวกษัตริย์แห่งราชวงศ์จิ๋นซึ่งชื่นชมฮั่นเฟจื๊อภายหลังจากที่หนังสือตกอยู่ในมือได้เป็นกษัตริย์กษัตริย์แห่งแคว้นฮั้น
จึงส่งฮั่นเฟจื๊อเป็นทูตทำให้แคว้นรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นแต่ภายหลังได้จบชีวิตลงหลังจากที่เพื่อร่วมสำนักให้ร้ายฮั่นเฟจื๊อต่อกษัตริย์ของราชวงศ์จิ๋น
ความคิดทางการเมืองของฮั่นเฟจื๊อจึงมาจากการมีชาติกำเนิดในตระกูลชนชั้นสูง
การเป็นศิษย์ของซุนจื๊อ และความไม่พอใจต่อสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ของรัฐฮั่นเป็นสำคัญ
ลักษณะสำคัญของปรัชญาจีน คือ
การสานต่อและผูกพันกับกระแสความคิดในอดีตอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ
ปรัชญาของจีนเริ่มต้นจากปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่สองท่าน คือ ขงจื๊อและเหลาจื๊อ
ปรัชญาสมัยต่อมาได้เจริญเติบโตภายใต้การร้อยประสานในกระแสธารทางความคิดของท่านทั้งสองนี้ด้วยการอธิบายและการขยายความมรดกทางความคิดที่มีมาจึงอาจกล่าวได้ว่านักคิดในกระแสธาร
ของนักปรัชญาจีนนั้นมิได้มีการขัดแย้งกับมรดกทางความคิดที่มีมาแล้วแต่อดีต
13.3
ปรัชญาของผู้ปกครองของฮั่นเฟจื๊อ
นักปรัชญาชาวจีนได้ให้ทรรศนะเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ไว้แตกต่างกัน
ฮั่นเฟจื๊อได้รับอิทธิพลทางความคิดจากซุนจื๊อ ที่กล่าวว่า มนุษย์แต่เกิดมาชั่วช้า แต่ฮั่นเฟจื๊อเองมิได้สนใจว่าธรรมชาติของมนุษย์ว่าดีหรือชั่วหากเชื่อว่าสภาพแวดล้อมของมนุษย์ต่างหากที่มีอิทธิพลในการกำหนดธรรมชาติของมนุษย์
ฮั่นเฟจื๊อมีทรรศนะเกี่ยวกับการปกครองไว้ว่าเป็นเรื่องของผู้ปกครองที่จะต้องใช้ศิลปะการปกครองซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพของผู้ปกครองมาตรฐานที่ผู้ปกครองใช้ในการปกครองและแหล่งอำนาจที่แท้จริง
3. *ภยันตรายที่ผู้ปกครองพึงระวัง
3. *ภยันตรายที่ผู้ปกครองพึงระวัง
ฮั่นเฟจื๊อเห็นว่าผู้ปกครองมีชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คนทั้งปวง
ความหลากหลายของผู้คนนี้อาจมุ่งร้ายต่อ
ผู้ปกครองได้ภัยที่ผู้ปกครองพึงระวังแบ่งออกเป็นสามส่วน คือ
ภัยจากขุนนาง ข้าราชการ ภัยจากตัวผู้ปกครองเอง และภัยจากผู้คนในรัฐ
(1) ภัยจากขุนนางข้าราชการ ฮั่นเฟจื๊อเรียกภัยจากขุนนางข้าราชการว่า
“ความชั่วร้ายทั้งแปด” อันเป็นยุทธวิธีที่ขุนนางข้าราชการใช้ดำเนินแผนการชั่วร้ายของตน
คือ การใช้คู่นอนของผู้ปกครอง การใช้คนใกล้ชิดของผู้ปกครอง
การใช้ประโยชน์จากผู้หลักผู้ใหญ่และญาติพี่น้อง
การเกื้อหนุนเอาใจใส่กับสิ่งไร้สาระ การใช้ประชาชนให้เป็นประโยชน์
การอาศัยนักพูดที่เก่งกาจ การใช้อำนาจหน้าที่และกำลัง
การใช้รัฐรอบข้างให้เป็นประโยชน์
(2) ภัยจากตัวผู้ปกครองเอง ฮั่นเฟจื๊อเรียกภัยจากตัวผู้ปกครองเองว่า
“ความผิดทั้งสิบ” อันได้แก่
การเอาใจใส่แต่ความภักดีเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ละเลย
ความภักดีที่ยิ่งใหญ่แท้จริง การสนใจแต่ผลได้เล็ก ๆ น้อย ๆ
แล้วจึงสูญเสียผลดีที่เหนือกว่าไป การมีพฤติกรรมต่ำช้าไม่อารีอารอบกับเจ้าฟิวดัลอื่น
ๆ และทำให้ตนเองประสบหายนะ การไม่ใส่ใจกับข้อราชการบ้านเมือง
สนใจแต่ดนตรีกาลอันทำให้ตนเดือดร้อนในที่สุด การละโมบ
ฉ้อฉลและชื่นชมกับผลกำไรมากเสียจนกระทั่งทำให้รัฐและตนเองล่มสลาย การหลงหญิง
นักดนตรีและละเลยกิจการบ้านเมือง การละจากพระราชวังของตนไปไกล ๆ
แม้พวกขุนนางจะร่วมกันคัดค้าน ซึ่งในที่สุดทำให้ตนประสบภัย
การไม่ฟังคำของขุนนางผู้ซื่อสัตย์เมื่อตนเป็นฝ่ายผิด
และยังดื้อดึงในทางของตนซึ่งจะมีผลให้ชื่อเสียง
ย่อยยับและกลายไปเป็นตัวตลกไป การไม่สนใจกับพลังอำนาจภายในรัฐ
แต่มัวพึ่งพาพันธมิตรภายนอกประเทศและการไม่ใส่ใจ
ข้อเรียกร้องให้รู้จักอารีอารอบทั้งที่รัฐตนก็เล็กและไม่รู้จักรับฟังเรียกรู้จากข้อค้านของขุนนางของตน
(3) ภัยจากผู้คนในรัฐ ฮั่นเฟจื๊อเรียกภัยประเภทนี้ว่า หนอนแมลงพิษทั้งห้า
อันเป็นตัวการที่ทำให้ระเบียบของรัฐถูกทำลายอันได้แก่พวกนักวิชาการ พวกนักพูด
พวกนักดาบ พวกคนที่กลัวจะถูกเกณฑ์ทหารและใช้วิธีติดสินบน พวกพ่อค้าและช่างฝีมือ
4. อิทธิพลทางความคิดของฮั่นเฟจื๊อต่อสังคมการเมือง
อิทธิพลทางความคิดของฮั่นเฟจื๊อต่อสังคมการเมืองแบ่งออกเป็นสองลักษณะ คือ
(1) อิทธิพลทางความคิดที่ทำให้ผู้ปกครองหรือจักรพรรดิจีนนำไปปฏิบัติ ซึ่งจะเห็นได้จากการปกครองประเทศโดยยึดถือกฎหมายแลจารีตเป็นหลัก
การสนับสนุนการเกษตรกรรมและสงคราม การใช้กฎหมายที่เคร่งครัดเข้มงวดต่อราษฎร
การกำหนดนโยบายต่างประเทศด้วยการเสียดสีทางการทูตอย่างเลือดเย็น จนทำให้กษัตริย์แห่งจีนสามารถรวบรวมแว่นแคว้นต่าง
ๆ ได้ไว้ในอำนาจและรวมจีนได้สำเร็จในแผ่นดินของพระองค์
(2)
อิทธิพลที่มีต่อปรัชญาจีน
ได้แก่ การใช้ตัวบทกฎหมายเป็นระบบต่อราษฎร (ฟา) การที่ราษฎรต้องเชื่อฟัง
กฎหมายโดยเคร่งครัด แต่ผู้ปกครองอยู่เหนือกฎหมายเหล่านั้น (ชู) และการที่ขุนนางข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่
สอดคล้องกับตำแหน่งและหน้าที่ตนพึงกระทำ (ซิง-มิง)
*เกาฏิลยะ
เป็นบุคคลที่แต่งอรรถศาสตร์ แต่มีความคลุมเคลือว่าเป็นบุคคลใด
บ้างเชื่อว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจาณักยะหรือวิษณุคุปต์ทีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกษัตริย์จันทรคุปต์
แต่มีข้อโต้แย้งต่าง ๆ อย่างมากมาย
*อรรถศาสตร์์
(Arthasastra) เป็นตำราโบราณถูกค้นพบโดย ร. ศมศาสตรี (R.
Shamsastry) ใน ค.ศ. 1905 เป็นงานที่ควรค่าการศึกษาทั้งในด้านวิธีการเขียน
ที่ผู้เขียนมิได้มีการแสดงความคิดเห็นของตนออกมาในทันทีทันใด แต่กล่าวถึงคำสอนอื่นก่อน
และเป็นการฟื้นฟูศาสตร์เรื่องนี้ขึ้นมาใหม่อย่างสิ้นเชิงโดยอาศัยการวิเคราะห์ความคิดและแนวทางของเดิมอย่างละเอียดในด้านเนื้อหา
เป็นงานที่มีความยาวถึง 15 เล่ม และแบ่งออกเป็น 180 ตอน และ 150 บท
*ปรัชญาหรือตรรกวิทยา
ในอรรถศาสตร์เป็นเสมือนดวงประทีปและกุญแจสำคัญที่นำมาสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องของศาสตร์ทั้งปวง
*พระเวท ในอรรถศาสตร์ หมายถึง
สิ่งที่กำหนดหน้าที่ทั้งหลายของบุคคลในแต่ละวรรณะ
ถือเป็นกรอบระเบียบของสังคมที่ชีวิตมนุษย์จะต้องเป็นไปตามนั้น
*เศรษฐศาสตร์์ ในอรรถศาสตร์ หมายถึง
ศาสตร์ที่ทำให้เกิดธัญญาหารและความอุดมสมบูรณ์พูนสุขแก่สังคม
*ศาสตร์แห่งการปกครอง
เป็นรากฐานของศาสตร์ทั้งปวง
ซึ่งอาจเรียกอีนัยหนึ่งว่าเป็นศาสตร์ของการลงโทษฑัณฑ์ผู้กระทำผิดของผู้ปกครองนั่นเอง
*สากลสภาวะแห่งปรัชญาผู้ปกครอง
ในทรรศนะของเกาฏิลยะ ผู้ปกครองจะต้องมีวิธีการเพื่อการสร้างชีวิตที่ดีของชุมชนหรือรัฐ
ซึ่งเป็นเป้าหมายประการสำคัญของรัฐ
ทั้งนี้โดยคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ปกครองจะต้องเป็นผู้มีขันติธรรม
และตระหนักถึงเป้าหมายประการสำคัญของรัฐ
ทั้งนี้โดยคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ปกครองจะต้องเป็นผู้มีขันติธรรมและตระหนักถึงผลของความชั่วร้าย
ส่วนฮั่นเฟจื๊อก็มีทรรศนะที่คล้ายคลึงกับเกาฏิลยะในแง่ของการมุ่งเน้นวิธีการ
ได้แก่ กฎหมาย และการสวัสดิการเพื่อสร้างความสุขแก่สังคม
*ฮั่นเฟจื้อ (280-233
ปีก่อนคริสต์กาล)
เป็นนักปรัชญาการเมืองคนสำคัญของจีนที่มาจากครอบครัวชั้นสูง
และผ่านการศึกษาจากซุนจื๊อ นักปรัชญาสำนักขงจื๊อ
และเสนอแนวคิดทางด้านการปกครองโดยผ่านหนังสือไปให้กับกษัตริย์แคว้นฮั่น
แต่ไม่ได้รับความสนใจ
จวบจนกระทั่งยุวกษัตริย์แห่งราชวงศ์จิ๋นซึ่งชื่นชมฮั่นเฟจื๊อภายหลังจากที่หนังสือตกอยู่ในมือได้เป็นกษัตริย์
กษัตริย์แห่งแคว้นฮั้นจึงส่งฮั่นเฟจื๊อเป็นทูตทำให้แคว้นรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้น
แต่ภายหลังได้จบชีวิตลงหลังจากที่เพื่อร่วมสำนักให้ร้ายฮั่นเฟจื๊อต่อกษัตริย์ของราชวงศ์จิ๋น
ความคิดทางการเมืองของฮั่นเฟจื๊อจึงมาจากการมีชาติกำเนิดในตระกูลชนชั้นสูง
การเป็นศิษย์ของซุนจื๊อ และความไม่พอใจต่อสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ของรัฐฮั่น
เป็นสำคัญ
*เส้นทางความคิดจากอดีต
ลักษณะสำคัญของปรัชญาจีน คือ การสานต่อและผูกพันกับกระแส
ความคิดในอดีตอย่างต่อเนื่องกล่าวคือ
ปรัชญาของจีนเริ่มต้นจากปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่สองท่าน คือ ขงจื๊อและเหลาจื๊อ
ปรัชญาสมัยต่อมาได้เจริญเติบโตภายใต้การร้อยประสานในกรแสธารทางความคิดของท่านทั้งสองนี้ด้วยการอธิบายและการขยายความมรดกทางความคิดที่มีมาจึงอาจกล่าวได้ว่า
นักคิดในกระแสธารของนักปรัชญาจีนนั้นมิได้มีการขัดแย้งกับมรดกทางความคิดที่มีมาแล้วแต่อดีต
*ธรรมชาติของมนุษย์ในทรรศนะของผู้ปกครอง นักปรัชญาชาวจีนได้ให้ทรรศนะเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ไว้แตกต่างกัน
ฮั่นเฟจื๊อได้รับอิทธิพลทางความคิดจากซุนจื๊อที่กล่าวว่า มนุษย์แต่เกิดมาชั่วช้าแต่ฮั่นเฟจื๊อเองมิได้สนใจว่าธรรมชาติของมนุษย์ว่าดีหรือชั่ว
หากเชื่อว่าสภาพแวดล้อมของมนุษย์ต่างหากที่มีอิทธิพลในการกำหนดธรรมชาติของมนุษย์
*ศิลปะการปกครอง
ฮั่นเฟจื๊อมีทรรศนะเกี่ยวกับการปกครองไว้ว่าเป็นเรื่องของผู้ปกครองที่จะต้องใช้ศิลปะการปกครองซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพของผู้ปกครอง
มาตรฐานที่ผู้ปกครองใช้ในการปกครอง และแหล่งอำนาจที่แท้จริง
*ภยันตรายที่ผู้ปกครอง
ฮั่นเฟจื๊อเห็นว่าผู้ปกครองมีชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คนทั้งปวง
ความหลากหลายของผู้คนนี้อาจมุ่งร้ายต่อผู้ปกครองได้
ภัยที่ผู้ปกครองพึ่งระวังแบ่งออกเป็นสามส่วน คือ ภัยจากขุนนาง ข้าราชการ
ภัยจากตัวผู้ปกครองเอง และภัยจากผู้คนในรัฐ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น