วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ระบอบการปกครอง

ระบอบการปกครอง
ตอนที่ 4.1  :  ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
เรื่องที่ 4.1.1  :  วิวัฒนาการระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
1.    การปกครองแบบประชาธิปไตยสมัยเริ่มแรกนั้น เกิดในนครรัฐเอเธนส์ของกรีกโบราณ เมื่อประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยตรง กล่าวคือ ประชาชนชาวเอเธนส์ทั้งหมดเป็นผู้ใช้อำนาจในการปกครองโดยตรง ด้วยการประชุมร่วมกัน
2.    หลังจากที่ประชาธิปไตยโดยตรงได้ล่มสลายไปจากนครเอเธนส์  การปกครองแบบประชาธิปไตยหยุดชะงักไปนับพันปี จึงได้เริ่มก่อรูปขึ้นในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอังกฤษ
3.    วิวัฒนาการของการปกครองระบอบประชาธิปไตยในประเทศอังกฤษ สืบเนื่องมาจาก
                (1)  สภาพสังคมผู้ปกครองในอังกฤษเวลานั้น เป็นสังคมศักดินา บรรดาขุนนางเจ้าที่ดินมีหน้าที่รับใช้กษัตริย์ และเป็นผู้มีอภิสิทธิ์ในทางการเมือง
                (2)  ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 อังกฤษส่งแกะเป็นสินค้าออกประมาณปีละ 8 ล้านตัว ด้วยเหตุนี้
บรรดาขุนนางเจ้าที่ดินต่างหันมาเลี้ยงแกะในที่ดินของตน และได้ประกอบธุรกิจร่วมกับพ่อค้าและนายหน้าตัวแทน ซึ่งเป็นชนชั้นกลาง จนในที่สุดกลายเป็นพวกเดียวกัน
                (3)  ทัศนคติแบบศักดินาของบรรดาขุนนางเจ้าที่ดินทั้งหลายเริ่มเปลี่ยนไปเป็นทัศนคติแบบนายทุน ที่ดินกลายเป็นทุนในการผลิตและเป็นแหล่งที่มาของรายได้
                (4)  ชนชั้นกลางจึงมีบทบาทและอำนาจในรัฐสภาเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีบรรดาขุนนางเจ้าที่ดินเป็นพวกด้วย รัฐสภาได้เปลี่ยนแปลงบทบาทไปเป็นเครื่องถ่วงดุลอำนาจกษัตริย์มากขึ้น จนเกิดระบบการปกครองที่เรียกว่าระบบกษัตริย์มีอำนาจจำกัด”  กล่าวคือ
                                - กษัตริย์ยังคงเป็นประมุขของประเทศ และเป็นหัวหน้ารัฐบาล
                                - กษัตริย์ต้องยอมรับอำนาจอิสระของผู้พิพากษาและของรัฐสภา
                (5)  ปี ค..1647 พระเจ้าชาร์ลที่ 1 ถูกดำเนินคดีและถูกประหารชีวิต รัฐสภามีวิวัฒนาการไปอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากกษัตริย์มีอำนาจจำกัด ไปเป็นระบบรัฐบาลแบบรัฐสภา กล่าวคือ มีองค์กรที่เรียกว่าคณะรัฐมนตรีซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลบริหารประเทศ
                (6)  ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 กษัตริย์ยอมสละอำนาจในการลงนามในกฎหมายที่รัฐสภาเสนอ และนับแต่นั้นมา รัฐสภามีอำนาจเต็มที่ในการบัญญัติกฎหมาย  ส่งผลให้ในเวลาต่อมา ประเทศอังกฤษมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
                (7)  ภายหลังการปฏิวัติใหญ่ในสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส การปกครองในระบอบดังกล่าวจึงแพร่หลายไปทั่วในประเทศยุโรปตะวันตก
เรื่องที่ 4.1.2  :  ความหมายของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
1.    ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ตามความเห็นของ ดร.กมล สมวิเชียร หมายถึงการปกครองที่มีหลักเกณฑ์ขั้นต่ำ 3 ประการ คือ
                (1)  ผู้ปกครองจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใต้ปกครอง
                (2)  ผู้ใต้ปกครองจะต้องมีสิทธิเปลี่ยนตัวผู้ปกครองได้เป็นครั้งคราว
                (3)  สิทธิมนุษยชนขั้นมูลฐานของประชาชนจะต้องได้รับการปกป้องคุ้มครอง
2.    แนวความคิดประชาธิปไตย ซึ่งก่อให้เกิดรูปแบบและวิธีการปกครอง ตามความเห็นของ ดร.ชัยอนันต์ คือ
                (1)  มนุษย์มีความสามารถ มีสติปัญญา รู้จักใช้เหตุผล ทำให้เกิดรูปแบบและวิธีการปกครองที่ใช้หลักการประชุมปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน
                (2)  ความเป็นอิสระและเสรีภาพของมนุษย์ ทำให้เกิดรูปแบบและวิธีการปกครองที่มีการวางขอบเขตอำนาจและหน้าที่
                (3)  ความเท่าเทียมกันของคนก่อให้เกิดการคุ้มครองทางกฎหมายแก่บุคคลอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ
                (4)  อำนาจอันชอบธรรมทางการปกครอง เกิดจากการให้ความยินยอมของประชาชน
                (5)  อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชน
                (6)  สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นสิ่งสำคัญ
3.    โดยสรุป หลักเกณฑ์ใหญ่ๆ ของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย คือ
                (1)  เป็นระบอบการปกครองที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
                (2)  เป็นระบอบการปกครองที่ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ
เรื่องที่ 4.1.3  :  องค์ประกอบของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
1.    องค์ประกอบของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ได้แก่
                (1)  การเลือกตั้ง                                                  (3)  หลักการว่าด้วยความถูกต้องแห่งกฎหมาย
                (2)  หลักการแบ่งแยกอำนาจ
2.    ฌอง ฌาคส์ รุสโซ นักคิดทางการเมืองคนสำคัญได้อธิบายในหนังสือสัญญาประชาคมไว้ว่า อำนาจอธิปไตยหรืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชาติ และมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน
3.    หลังการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสเมื่อปี ค..1789 แนวความคิดที่ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ได้แพร่หลายไปในประเทศต่างๆ จนเป็นที่ยอมรับกันว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน
4.    ในทางปฏิบัตินั้น ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยไม่สามารถใช้อำนาจของตนได้อย่างทั่วถึง ประชาชนจึงมอบอำนาจให้แก่บุคคลกลุ่มหนึ่งเพื่อทำหน้าที่ปกครองในประเทศแทนประชาชน การมอบอำนาจดังกล่าวเรียกว่าการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการปกครองแบบประชาธิปไตย
5.    การเลือกตั้งตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย จะต้องมีหลักเกณฑ์ดังนี้
                (1)  การเลือกตั้งต้องกระทำโดยเสรี ไม่มีการบังคับหรือจ้างวานหรือใช้อิทธิพลใดๆ
                (2)  การเลือกตั้งต้องมีการกำหนดสมัยเลือกตั้งไว้แน่นอนชัดเจน
                (3)  การจัดการเลือกตั้งต้องบริสุทธิ์ยุติธรรม
                (4)  การออกเสียงเลือกตั้งต้องให้ประชาชนมีโอกาสใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างแท้จริง ไม่มีข้อจำกัดกีดกัน
                (5)  แต่ละคนมีคะแนนเสียงเพียงเสียงเดียว และทุกคะแนนเสียงย่อมมีน้ำหนักเท่ากัน
                (6)  การลงคะแนนเสียงต้องไม่มีการใช้อิทธิพลบังคับ ข่มขู่ หรือให้สินจ้างรางวัล
6.    ระบบการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
                (1)  การเลือกตั้งโดยทางตรงและทางอ้อม
                (2)  การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตและแบบรวมเขต
                (3)  การเลือกตั้งตามเสียงข้างมากและแบบสัดส่วน
7.    ประเทศไทยเคยมีการเลือกตั้งแล้ว 2 รูปแบบ คือ การเลือกตั้งโดยทางตรงและทางอ้อม และการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตและแบบรวมเขต
8.    การแบ่งแยกอำนาจ มีจุดมุ่งหมายสำคัญคือ ป้องกันมิให้มีการใช้อำนาจซึ่งเป็นอธิปไตยของชาติตกไปอยู่กับองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม
9.    มองเตสกิเออ นักคิดทางการเมืองคนสำคัญชาวฝรั่งเศสได้อธิบายในหนังสือเจตนารมณ์ของกฎหมายไว้เกี่ยวกับการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 อำนาจ คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจที่จะปฏิบัติกิจการต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับกฎหมายมหาชน และอำนาจที่จะปฏิบัติกิจการต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับกฎหมายเอกชน
10.  มองเตสกิเออ ได้แสดงความเห็นไว้ว่าองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ทั้ง 3 องค์การ ต้องแยกจากกันและเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน เสรีภาพของประชาชนจะมีไม่ได้หรือมีเป็นส่วนน้อย ถ้าหากอำนาจเหล่านี้ไปรวมอยู่องค์กรใดองค์กรหนึ่ง
11.  ความเห็นของมองเตสกิเออ มีอิทธิพลต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยของประเทศสหรัฐอเมริกา และถือเป็นหลักในการจำแนกระบบการปกครองของประเทศต่างๆ ว่าเป็นระบบประธานาธิบดี หรือระบบรัฐสภา
12.  หลักการแบ่งแยกอำนาจ มีข้อพิจารณาดังนี้
                - เป็นการจัดระเบียบอำนาจในลักษณะที่ไม่ให้มีการรวมการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ
                - ไม่จำเป็นเสมอไปที่ต้องให้องค์กรผู้ใช้อำนาจทั้งสามอำนาจมีความเท่าเทียมกัน
                - ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกอำนาจจากกันโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร
13.  การที่รัฐสภาจะถ่วงดุลอำนาจรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพได้นั้น จำเป็นที่รัฐสภาต้องมีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ ดังนี้
                (1)  ความเป็นอิสระของสมาชิกรัฐสภา  ซึ่งมีองค์ประกอบในการพิจารณา คือ
                                - การเข้าสู่ตำแหน่งของสมาชิกรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง
                                - สถานส่วนตัวของสมาชิกรัฐสภา ต้องได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองจากการปฏิบัติหน้าที่
                (2)  ความเป็นอิสระในการดำเนินงานของรัฐสภา
                                - สมัยประชุมของรัฐสภา ต้องมีการกำหนดสมัยประชุมไว้แน่นอน
                                - องค์กรภายในของรัฐสภา มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ เพื่อพิจารณาร่างกฎหมาย
                                   หรือตรวจสอบการดำเนินงานของฝ่ายบริหาร
                                - อำนาจของรัฐสภา ซึ่งต้องมีอย่างน้อย 3 ประการคือ
                                      *  อำนาจในการจำกัดขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายบริหาร
                                      *  อำนาจในการควบคุมฝ่ายบริหาร
                                      *  อำนาจในการเรียกร้องและคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายบริหาร
14.  หลักการที่ว่าด้วยความถูกต้องตามกฎหมาย มีความหมาย 2 ประการ ดังนี้
                (1)  ผู้มีอำนาจปกครอง ซึ่งหมายถึงฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ จะใช้อำนาจปกครองตามอำเภอใจไม่ได้  การใช้อำนาจปกครองจะต้องสอดคล้องถูกต้องตามกฎหมายทั้งหลายที่ใช้บังคับอยู่
                (2)  รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์สูงสุด กฎมายที่มีลำดับศักดิ์รองลงมาจะมีบทบัญญัติขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้
เรื่องที่ 4.1.4  :  รูปแบบของรัฐบาลในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
1.    รัฐบาลในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย แบ่งออกเป็น 3 ระบอบ คือ
                (1)  ระบบการปกครองแบบรัฐสภา                                (3)  ระบบการปกครองแบบกึ่งประธานาธิบดี
                (2)  ระบบการปกครองแบบประธานาธิบดี
2.    ระบบการปกครองแบบรัฐสภา  มีข้อพิจารณาดังนี้
                (1)  เป็นระบบการปกครองที่อำนาจขององค์กรฝ่ายบริหารและองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติเท่าเทียมกัน
                (2)  ทั้งสองฝ่ายต่างควบคุมซึ่งกันและกัน
                (3)  มีการประสานงานกันในการดำเนินการต่อกัน
                (4)  ฝ่ายบริหารมีส่วนในการเสนอร่างกฎหมาย
3.    ฝ่ายบริหารตามระบบการปกครองแบบรัฐสภา แบ่งออกเป็น 2 องค์กร คือ
                (1)  องค์กรประมุขของรัฐ
                                - เป็นกษัตริย์ที่สืบทอดราชวงศ์ต่อๆ กันมา หรือประธานาธิบดีซึ่งมาจาการเลือกตั้งทางอ้อม
                                - ประมุขของรัฐมีฐานะหรือบทบาทในทางพิธีการเท่านั้น
                (2)  องค์กรคณะรัฐมนตรี หรือรัฐบาล
                                - มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล หรือหัวหน้าฝ่ายบริหาร
                                - คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อรัฐสภาร่วมกัน
                                - รัฐสภาสามารถลงมติไม่ไว้วางในรัฐบาล ในขณะที่นายกรัฐมนตรีมีอำนาจยุบสภา
4.    การจัดตั้งรัฐบาล หรือคณะรัฐมนตรี มีวิธีการ 2 วิธี คือ
                (1)  วิธีการแรก สภามีส่วนร่วมในการจัดตั้งรัฐบาล
                                - เป็นวิธีการที่ใช้กันแพร่หลาย โดยรัฐสภามีส่วนร่วมในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีก่อน
                                - นายกรัฐมนตรีเป็นผู้เลือกบุคคลมาร่วมเป็นคณะรัฐมนตรี
                                - ต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาก่อนเข้าบริหารงานเพื่อขอมติไว้วางใจ
                (2)  วิธีที่สอง สภาไม่มีส่วนร่วมในการจัดตั้งรัฐบาล
                                - เป็นวิธีการที่ใช้กันแพร่หลายในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย
                                - การตั้งรัฐบาลไม่จำเป็นต้องได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภา
5.    ระบบการปกครองแบบประธานาธิบดี  มีข้อพิจารณาดังนี้
                (1)  เป็นระบบการปกครองที่ประธานาธิบดี เป็นทั้งประมุขของรัฐและหัวหน้ารัฐบาล
                (2)  รัฐมนตรีที่ประธานาธิบดีแต่งตั้งมีฐานะเพียงที่ปรึกษาของประธานาธิบดีในการบริหารบ้านเมือง
                (3)  รัฐมนตรีรับผิดชอบต่อประธานาธิบดีแต่ผู้เดียว
                (4)  ฝ่ายบริหาร (ประธานาธิบดี) และรัฐสภา ต่างทำหน้าที่เป็นอิสระต่อกันและกัน
                (5)  ฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจเสนอร่างกฎหมายต่อรัฐสภาโดยตรง แต่สามารถใช้วิธีการทางอ้อมได้ โดยวิธี
                       สำคัญ คือสุนทราพจน์ของประธานาธิบดีที่กล่าวต่อรัฐสภา” (State of Union)
6.    “The Impeachment”  เป็นวิธีการคานดุลอำนาจระหว่างรัฐสภาและประธานาธิบดี ในระบบการปกครองแบบประธานาธิบดี เนื่องจากเป็นรูปแบบการปกครองที่แบ่งแยกอำนาจกันอย่างเด็ดขาด ซึ่งในทางปฏิบัตินั้น ประธานาธิบดีมีอำนาจยับยั้งกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว แต่รัฐสภาก็มีอำนาจดำเนินคดีกับประธานาธิบดีด้วยวิธีการนี้
7.    ระบบการปกครองแบบกึ่งประธานาธิบดี  มีข้อพิจารณาดังนี้
                (1)  เป็นระบบการปกครองที่ใกล้เคียงกับระบบการปกครองแบบรัฐสภามากกว่า
                (2)  รัฐสภาสามารถถอดถอนหัวหน้ารัฐบาลและคณะรัฐบาล ในขณะที่ฝ่ายบริหารมีอำนาจยุบสภา
        (3)  ฝ่ายบริหารแบ่งออกเป็น 2 องค์กร คือ องค์กรประธานาธิบดี และองค์กรคณะรัฐมนตรี  โดยองค์กร
                       คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อรัฐสภา
                (4)  ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
                (5)  ตัวอย่างประเทศที่มีระบบการปกครองแบบนี้คือ ฝรั่งเศส ออสเตรีย ฟินแลนด์ ปอร์ตุเกส ไอร์แลนด์
                       และไอซ์แลนด์
ตอนที่ 4.2  :  ระบอบการปกครองแบบเผด็จการ
เรื่องที่ 4.2.1  :  ความหมายของระบอบการปกครองแบบเผด็จการ
1.    ระบอบการปกครองแบบเผด็จการ มีความหมายเป็น 2 นัย กล่าวคือ
                (1) เป็นระบอบการปกครองชั่วคราวที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปกปักรักษาระบอบการปกครองเดิมที่เผชิญกับวิกฤติการณ์ร้ายแรงในทางสังคม อันอาจเป็นอันตรายต่อสถาบันการเมืองการปกครองที่มีอยู่ในขณะนั้น
                (2) เป็นระบอบการปกครองที่อำนาจปกครองของรัฐบาลไม่ได้มีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เป็นระบอบการปกครองที่ประชาชนไม่มีโอกาสถอดถอนรัฐบาลซึ่งตนไม่พอใจ และเป็นระบอบการปกครองที่ไม่มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจากรัฐบาล
2.    ระบอบการปกครองแบบเผด็จการ แบ่งตามระบบเศรษฐกิจออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
                (1)  การปกครองแบบเผด็จการของประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
                (2)  การปกครองแบบเผด็จการของประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
เรื่องที่ 4.2.2  :  ระบอบการปกครองแบบเผด็จการของประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
1.    ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เป็นระบบเศรษฐกิจที่ยอมให้เอกชนเป็นเจ้าของเครื่องมือการผลิต และเปิดโอกาสให้เอกชนแข่งขันกันในการประกอบการทางเศรษฐกิจ รัฐจะเข้าแทรกแซงเศรษฐกิจเฉพาะในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น
2.    การปกครองแบบเผด็จการ จะเกิดขึ้นเมื่อสังคมของประเทศเกิดวิกฤติ ซึ่งแยกออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
                (1)  วิกฤติการณ์ในสังคม (ความวุ่นวายจากการเรียกร้อง ประท้วง และเดินขบวน)
                (2)  วิกฤติการณ์เกี่ยวกับความชอบธรรมแห่งอำนาจการปกครอง (ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ของกลุ่ม
                       การเมือง)
3.    การปกครองแบบเผด็จการ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
                (1)  เผด็จการแบบปฏิวัติ  เป็นเผด็จการชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ กล่าวคือ เป็นเผด็จการที่พยายามเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองแบบใหม่ทั้งหมด เพื่อทดแทนแบบเดิม
                (2)  เผด็จการแบบปฏิรูป  เป็นเผด็จการแบบอนุรักษ์นิยม กล่าวคือ เป็นเผด็จการที่ไม่ได้มุ่งหมายที่จะนำระบบการเมืองแบบใหม่ทั้งหมด มาทดแทนที่มีอยู่เดิม ยังคงอาศัยพึ่งพากันอยู่
4.    สถาบันการเมืองของระบอบการปกครองแบบเผด็จการ ประกอบด้วย
                (1)  กำลังทหาร เพื่อทำหน้าที่คุ้มครองหรือสนับสนุนระบบเผด็จการ
                (2)  พรรคการเมืองแบบพรรคเดียว เพื่อเป็นเครื่องมือในการติดต่อระหว่างรัฐบาลกับประชาชน ช่วยเผย
                       แพร่ความรู้ทางการเมือง  โฆษณา  ประชาสัมพันธ์  เผยแพร่อุดมการณ์ทางการเมือง
5.    วิธีการทำให้ประชาชนยอมรับอำนาจปกครองแบบเผด็จการ มี 2 แนวทาง คือ
(1)  การปราบปราม                                          
                                - การปราบปรามประชาชนที่โต้แย้งคัดค้านระบบเผด็จการ จะใช้วิธีการทางกฎหมาย ศาล และ
                                   ตำรวจ แต่ถ้าต้องการปราบปรามเด็ดขาด จะใช้ตำรวจลับ
- การกำจัดศัตรูทางการเมือง จะใช้ตำรวจติดตามเฝ้ามองพฤติกรรมต่างๆ ก่อน
- วิธีการต่างๆ ที่ใช้ปราบปรามคือ การจับกุมคุมขัง การส่งตัวไปกักกันในค่าย การทรมาน และ
                                   การประหารชีวิต
(2)  การโฆษณาชวนเชื่อ
                                - รูปแบบและวิธีการโฆษณาชวนเชื่อขึ้นอยู่กับว่าเป็นเผด็จการแบบไหน
6.    รูปแบบของการปกครองแบบเผด็จการในระบบทุนนิยม แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
                (1)  การปกครองแบบเผด็จการฟาสซิสม์
                        - เป็นการปกครองของประเทศอุตสาหกรรม
                                - เป็นการปกครองที่มีพรรคการเมืองพรรคเดียว
                                - เป็นการปกครองที่จัดให้มีการโฆษณาชวนเชื่อในรูปแบบทันสมัย
                (2)  การปกครองแบบเผด็จการที่อาศัยพรรคการเมืองพรรคเดียว
                                - มักเกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา
                                - มักเป็นเผด็จการแบบอนุรักษ์นิยม
                (3)  การปกครองแบบเผด็จการทหาร
                                - มักเกิดขึ้นในประเทศด้อยพัฒนา
                                - มีทั้งแบบทหารเป็นผู้ปกครอง และแบบทหารอยู่เบื้อหลังให้พลเรือนปกครอง
7.    สถาบันการเมืองการปกครองของเผด็จการแบบฟาสซิสม์ ได้แก่

(1)  พรรคการเมืองแบบพรรคเดียว   เป็นเครื่องค้ำจุนการปกครองแบบฟาสซิสม์มากกว่ากองทัพ

(2)  การจัดตั้งสมาคมอาชีพ   โดยรวมกิจการประเภทเดียวกันของเอกชนให้องค์กรของรัฐดูแล

                (3)  การโฆษณาชวนเชื่อ   ด้วยคำขวัญ สัญลักษณ์ขิงพรรค และภาพผู้นำ ผ่านสื่อสารมวลชนต่างๆ
                (4)  การปราบปรามฝ่ายตรงข้าม   ด้วยวิธีการรุนแรงและเหี้ยมโหด โดยใช้ตำรวจลับ
8.    คำว่าโฟรบันซิอามิเอ็นโดเป็นระบบเผด็จการที่กองทัพไม่ได้เข้ามามีอำนาจปกครองเอง แต่จะใช้วิธีการสนับสนุนพรรคการเมืองหนึ่งหรือคณะบุคคลพลเรือนหนึ่ง ให้เป็นหัวหน้าปกครองประเทศ
9.    คำว่าเพลโตเลียนหมายถึง เผด็จการทหารที่ทหารเข้ามาปกครองประเทศ โดยมุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ของทหารด้วยกัน แทนที่จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน
เรื่องที่ 4.2.3  :  ระบอบการปกครองแบบเผด็จการของประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
1.    ลักษณะสำคัญของประเทศสังคมนิยม ได้แก่
                (1)  เป็นสังคมที่เครื่องมือในการผลิตเป็นของส่วนรวม ซึ่งอาจเป็นของรัฐ หรือองค์กรปกครองส่วน
                       ท้องถิ่นหรือของสหกรณ์
                (2)  เอกชนสามารถประกอบกิจการส่วนตัวได้ แต่การประกอบกิจการนั้นต้องไม่มีความสำคัญต่อ
                       ระบบเศรษฐกิจของประเทศ
                (3)  ระบบเศรษฐกิจนั้น ยึดถืออุดมการณ์มาร์กซิสม์เป็นสำคัญ
                (4)  ใช้อำนาจเผด็จการในการปกครอง โดยมีพรรคการเมืองแบบพรรคเดียว
(5)  ให้ความสำคัญกับโครงสร้างทางสังคมและอุดมการณ์สังคมนิยม
2.    ลัทธิมาร์กซิสม์ มีความเห็นว่า มนุษย์ยังไม่อาจมีเสรีภาพได้ ตราบใดที่ยังมีเอกชนเป็นเจ้าของเครื่องมือการผลิต และมีการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
3.    อุดมการณ์ของมาร์กซิสม์ในเรื่องรัฐและอำนาจทางการเมือง คล้ายกับอุดมการณ์เสรีนิยม กล่าวคือ รัฐและอำนาจทางการเมือง หมายถึง สิ่งทั้งหลายที่เป็นเครื่องมือในการปกครองในการใช้อำนาจ เช่น กำลังตำรวจ กำลังทหาร ศาล และคุก เป็นต้น
4.    ตามความเห็นของพวกมาร์กซิสม์ ทฤษฎีว่าด้วยรัฐและอำนาจทางการเมือง สามารถเปลี่ยนแปลงพัฒนาได้ ซึ่งมี 3 ขั้นตอน คือ
                (1)  รัฐมีฐานะเป็นเครื่องมือในการใช้อำนาจปกครองของชนชั้นหนึ่ง ต่ออีกชนชั้นหนึ่ง
                (2)  รัฐมีฐานะเป็นเครื่องมือในการสร้างสังคม ที่มีระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
                (3)  รัฐจะหมดสภาพสิ้นสูญไปจากสังคมมนุษย์
5.    ทฤษฎีจาโคแบงค์”  ถือกันว่าเป็นต้นกำเนิดของทฤษฎีมาร์กซิสม์ ที่ว่าด้วยการใช้อำนาจเผด็จการ มีรายละเอียด ดังนี้
                (1)  ทฤษฎีนี้เกิดขึ้นสมัยปฏิวัติใหญ่ในประเทศฝรั่งเศส
                (2)  จาโคแบงค์ คือกลุ่มบุคคลที่ได้อำนาจรัฐเมื่อเดือนมิถุนายน ค..1793 ซึ่งตอนนั้นมีกองทัพต่างชาติ
                       บุกรุกเข้าประเทศฝรั่งเศสถึง 5 ประเทศ และเขตปกครองต่างๆ ภายในประเทศก็แตกแยก
                (3)  จาโคแบงค์ จึงต้องใช้อำนาจเผด็จการในการปกครองประเทศ
                (4)  ทฤษฎีจาโคแบงค์ มีหลักการสำคัญ ดังนี้คือ
                                - การปกครองแบบเผด็จการต้องเด็ดขาดและแข็งกร้าว เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย
                                - การใช้อำนาจเผด็จการ เพียงเพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงนิสัยที่เคยชินของประชาชน
                                - เป็นระบบการปกครองแบบเผด็จการชั่วคราวเท่านั้น

เรื่องที่ 4.2.4  :  รัฐธรรมนูญของประเทศเผด็จการสังคมนิยม
1.    การปกครองของประเทศเผด็จการสังคมนิยม มีส่วนคล้ายและต่างกับประเทศในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย  กล่าวคือ
(1)  มีรัฐธรรมนูญ มีบทบัญญัติรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชน มีการเลือกตั้งทั่วไป และมีรัฐสภา
(2)  การปกครองโดยการผสมผสานระหว่างสถาบันการเมืองกับการเผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองแบบพรรคเดียว
(3)  การเลือกตั้งทั่วไปนั้นใช้วิธีให้การรับรองผู้สมัครรับการเลือกตั้ง ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจคัดเลือก
                (4)  มีรัฐสภาทำหน้าที่ควบคุมและจำกัดอำนาจของฝ่ายรัฐบาล แต่การแบ่งแยกอำนาจนั้น ฝ่ายรัฐบาลจะมีอำนาจกว้างขวางกว่า ส่วนฝ่ายรัฐสภามีอำนาจค่อนข้างจำกัด
2.    สาเหตุที่ต้องให้อำนาจของฝ่ายรัฐบาลมากกว่า เนื่องจากเหตุผลสำคัญ 3 ประการ
                (1)  พรรคคอมมิวนิสต์มีอิทธิพลครอบงำกลไกต่างๆ ของรัฐ
                (2)  กฎหมายจะต้องอยู่ภายใต้บังคับของจุดมุ่งหมายแห่งการปฏิวัติ
                (3)  ความอ่อนแอของรัฐสภา
3.    ลักษณะโดยทั่วไปของประเทศเผด็จการสังคมนิยม ได้แก่
                (1)  อำนาจทางการเมืองใช้อยู่ 2 ทางคือ ทางกลไกของพรรคคอมมิวนิสต์ และกลไกของรัฐ
                (2)  กลไกของพรรคคอมมิวนิสต์มีอำนาจเหนือกว่ากลไกของรัฐ
                (3)  ผู้นำที่แท้จริงคือ ผู้นำพรรค ไม่ใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

(4)       รัฐบาลไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หากเป็นกรณีที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการปฏิวัติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น