วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แนวความคิดทั่วไปเกี่ยวกับการศึกษาปรัชญาการเมือง

1.1  แนวความคิดทั่วไปเกี่ยวกับการศึกษาปรัชญาการเมือง
            1.1.1  ความหมายของปรัชญาการเมือง
          ปรัชญาตามความหมายดั้งเดิม หมายถึง  ความรักในปัญญา (love  of  wisdom) การแสวงหาปัญญา”  (political  philosophy)  
          ผู้แสวงหาปัญญาหรือปรัชญาเมธีคนแรกๆ ได้แก่ ผู้ที่พูดถึงธรรมชาติ  ธรรมชาติ จึงเป็นสาระสำคัญของปรัชญา  ธรรมชาติ  หมายถึง  คุณลักษณะที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง  มี  หรือ  เป็น  หรือ  กระทำ  นี่คือความหมายเดิมของธรรมชาติ  ในสมัยที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ได้แยกออกจากปรัชญา
          ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ต้องถูกค้นพบ การค้นพบธรรมชาติหมายถึงการแยกแยะปรากฏการณ์ทั้งหลายออกเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นธรรมชาติและปรากฏการณ์ที่ไม่ใช่ธรรมชาติ ปรัชญาเมธีคือผู้แสวงหาและแยกปรากฏการณ์ดังกล่าวออกจากกัน
          ปรัชญา  คือ ความพยายามที่จะทดแทนความเห็นด้วยความรู้หรือความจริงอันเกี่ยวกับธรรมชาติ ชีวิตของมนุษย์ก่อนที่จะเกิดปรัชญา  คือชีวิตที่มีรากฐานอยู่บนขนบธรรมเนียม  ประเพณี 
โสเกรติส (469 399 B.C.) เป็นผู้เริ่มต้นเกี่ยวโยงเอาปัญหาของมนุษย์เข้าไว้ด้วย  เพราะเป็นผู้ที่เริ่มตั้งคำถามที่ว่า  อะไรคือความดี  อะไรคือความกล้าหาญ อะไรคือความยุติธรรม  แม้แต่ความเห็นที่ทรงอานุภาพที่สุดของสังคม ได้แก่ ความเห็นของรัฐที่ออกมาโดยรูปแบบของกฎหมายก็ต้องถูกกระทบกระเทือนด้วย  กฎหมายเท่านั้นที่จะกำหนดการกระทำอย่างไรจึงเรียกว่ายุติธรรม  อย่างไรไม่ยุติธรรมฯ สำหรับโสเกรติส เห็นว่ากฎหมายของผู้มีอำนาจในชุมชนก็เป็นเพียงแค่ความเห็นหรือขนบประเพณีเหมือนกัน การตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิต  ศีลธรรม  สิ่งที่ดีและสิ่งที่ชั่วของโสเกรติส  จึงเป็นกลายเป็นการตั้งข้อสงสัยเอากับรากฐานที่สำคัญที่สุดของชุมชนการเมือง
          จุดเริ่มต้นปรัชญาการเมือง ความพยายามที่จะทดแทนความเห็นในเรื่องธรรมชาติของการเมืองด้วยความรู้ในเรื่องธรรมชาติของสิ่งที่เป็นการเมือง  ทั้งพยายามที่จะรู้ทั้งธรรมชาติของสิ่งที่เป็นการเมือง คือการแสวงหาธรรมชาติ  ของความยุติธรรมหรือความดี และการตั้งคำถามอื่นๆ ที่เกี่ยวโยงกับมนุษย์และชุมชนการเมืองและระเบียบการเมืองที่ถูกที่ดีพร้อมๆ กัน 
          การศึกษาประวัติชีวิตของโสเกรติสผ่านผลงานการเขียนของเพลโต  จะพบลักษณะเด่นของคำถามของ โสเกรติสที่ขึ้นต้นด้วย  อะไรคือ......?  เช่น  อะไรคือความยุติธรรมฯ 
          เรายกย่องให้โสเกรติสเป็นบิดาของปรัชญาการเมือง เพราะในทางปฏิบัติแล้วคำถามของโสเกรติสพยายามที่จะก้าวออกไปให้พ้นขอบเขตความเห็นทั้งปวงพร้อมๆ กับชี้แนะไปยังการคงอยู่ของระเบียบทางการเมืองที่ดีที่สุดที่เป็นสากลทั้งปวง
          ปรัชญาของโสเกรติสกลายเป็นปรัชญาการเมือง  เพราะการกระทำที่มีลักษณะเป็น การเมืองไม่ว่าในชุมชนใดย่อมเป็นการกระทำที่มุ่งเปลี่ยนแปลงหรือคงรักษาไว้ เมื่อมุ่งเปลี่ยนแปลงก็ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า  เมื่อมุ่งรักษาก็ต้องรักษาสิ่งที่ดีไว้ไม่ให้เปลี่ยนแปลงในสู่สิ่งที่เลว  การกระทำทางการเมืองย่อมต้องมีความรู้ในสิ่งที่ดีหรือเลวเป็นเครื่องชี้ทางเสมอ
          โสเกรติส  เป็นบิดาของปรัชญาการเมืองที่ว่าด้วยเรื่องที่ใกล้ตัวมนุษย์มากที่สุด
            1.1.2  ลักษณะของปรัชญาการเมืองยุคคลาสสิก
          ลักษณะสำคัญประการแรกของปรัชญาการเมืองโสเกรติส  คือสืบทอดผ่านเพลโตและอริสโตเติล  ที่ว่า  การแสวงหาคำตอบว่าระเบียบทางการเมืองที่ดีที่สุดเป็นสากลนั้นเป็นอย่างไร 
          ปรัชญาการเมืองยุคคลาสสิก  ประเด็นการเมืองและประเด็นทางศีลธรรมจากแง่ความสมบูรณ์ของมนุษย์เป็นหลัก  กล่าวคือ  ปรัชญาคลาสสิกทั้งหลายเห็นพ้องกันว่า เป้าหมายสูงสุดของชีวิตการเมืองคือ คุณธรรม 
          ปรัชญาการเมืองยุคคลาสสิกไม่ได้ยกย่องสรรเสริญความเสมอภาคหรือการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ว่าเป็นสิ่งสูงสุด ปรัชญายุคคลาสสิกไม่ใช่ผู้นิยมความเสมอภาค
          ปรัชญายุคคลาสสิกรัฐที่ดีที่สุดคือ  การปกครองแบบอภิชนาธิปไตย  หรือรัฐผสม
          ความสำคัญการเน้นรัฐที่ดีที่สุด คือความรู้เรื่องรัฐที่ดีที่สุดจำเป็นสำหรับการชี้แนะทางการเมืองที่ถูกต้อง
          ทรรศนะของโสเกติส  รัฐที่ดีที่สุด  ขึ้นอยู่กับโอกาส ขึ้นอยู่กับโชคชะตา  ราชากลายเป็นปราชญ์เมธีเท่านั้นที่รัฐที่ดีที่สุดจะเกิดขึ้นได้  รัฐในอุดมคติของยุคคลาสสิกกลายเป็นบทวิพากษ์วิจารณ์อันสำคัญสำหรับความใฝ่ฝันทางการเมืองที่เรียกว่า  ยูโทเปีย 
          ปรัชญายุคคลาสสิกเน้นถึงอันตรายของการยึดอุดมคติทางการเมืองเป็นสรณะสูงสุดด้วย  ลักษณะสองแง่สองมุมของปรัชญาการเมืองยุคคลาสสิกพิจารณาได้ว่า มีรากฐานบนลักษณะเฉพาะที่สำคัญ คือความเข้าใจความจำเป็นที่จะต้องแยกแยะระหว่างความรักในสิ่งที่เป็นของตนเองและความรักในสิ่งที่ดีออกจากกัน
            1.1.3  ลักษณะของปรัชญาการเมืองสมัยใหม่
          การเมืองสมัยใหม่กำเนิดขึ้นในศตวรรษที่ 16 17  พิจารณาได้ว่าเป็นปฏิกิริยาที่มีต่อผลของคริสต์ศาสนาที่แตกแยกออกเป็นนิกายต่างๆ
          ผลงานของแมคเคียเวลลีและฮอบส์  ปรากฏเด่นชัดว่าเป็นการเขียนต่อต้านผลลัพธ์ทางการเมืองตามอุดมคติของคริสต์ศาสนา  อันมีรากฐานอยู่ในปรัชญาการเมืองคลาสสิกอีกที  สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีความเห็นร่วมกันคือ  การปฏิเสธของโครงร่างของปรัชญาการเมืองคลาสสิกว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
          แมคเคียเวลลี  เป็นบิดาปรัชญาการเมืองสมัยใหม่  มีทรรศนะว่าข้อผิดพลาดของปรัชญาการเมืองคลาสสิกคือ  เริ่มต้นจากความคิดที่ว่ามนุษย์ควรมีชีวิตอย่างไร  เป็นการเริ่มต้นพรรณนาถึงรัฐที่ดีที่สุดที่ไม่มีโอกาสที่เป็นไปได้ในชีวิตจริง
          ปรัชญาการเมืองคลาสสิกเสนอว่า  ศีลธรรมเป็นสิ่งที่มีตัวตนเป็นสิ่งที่มีพลังจิตของมนุษย์  แมคเคียวเวลลีเสนอใหม่หมดคือให้พิจารณาจากความเป็นจริง มนุษย์ไม่ใช่สัตว์การเมือง  ในทางตรงกันข้าม  มนุษย์เป็นสัตว์ที่เลวและต้องถูกบังคับให้เป็นคนดี คุณธรรมไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ  แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม  คุณธรรม  เกิดขึ้นได้จากการศึกษาอบรม
          ตามความเข้าใจของแมคเคียเวลลี  ข้อสำคัญคือเราต้องเข้าใจว่าสิ่งซึ่งกำหนดความเป็นมนุษย์นั้น  ไม่ใช่เป็นสิ่งอยู่เหนือธรรมชาติหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ หากแต่มนุษย์กระทำการทุกอย่างก็เพราะความจำเป็น  โดยเหตุที่มนุษย์ชั่วร้าย  จุดกำเนิดของความชอบธรรมทุกประการ
          แมคเคียเวลลี มีเจตนาละทิ้งความหมายดั้งเดิมของสังคมที่ดีและชีวิตที่ดีของปรัชญาการเมืองคลาสสิกอย่างโจ่งแจ้งที่สุด  ตัดขาดจากปรัชญาการเมืองคลาสสิกหันมาเน้นสิ่งที่เป็นจริง
          เป้าหมายการโจมตี ของแมลเคียเวลลี ได้แก่ ปรัชญาและคริสต์ศาสนาแต่ปรัชญาศาสนาก็ยังมีความสำคัญ
          โธมัส  ฮอบส์  มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อจากแมคเคียเวลลี 
          ปรัชญาของฮอบส์  ได้แก่  การสะท้อนความคิดเกี่ยวกับธรรมชาติ และคริสต์ศาสนา  ล้วนมีแต่ผลร้ายต่อสันติสุขในสังคมทั้งคู่  ภาระของปรัชญาฮอบส์ คือการสร้างสิทธิอำนาจทางการเมือง  ให้เป็นอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งที่ดีและสิ่งที่ชั่ว  และเป็นอำนาจที่ทุกคนยอมรับ ปัญหาของฮอบส์อยู่ที่ว่า  ความสมเหตุสมผลอันที่จะปฏิเสธอำนาจของเหตุผลเอง  ปัญหาด้านศีลธรรมและการเมือง  ฮอบส์แสดงไว้ว่า กฎหมายมีศักดิ์ศรีเหนือกว่าธรรมชาติ  เป็นการกำหนดความหมายธรรมชาติขึ้นมาใหม่   
          ความความคิดเห็นของฮอบส์  ข้อบกพร่องประการสำคัญของปรัชญาการเมืองคลาสสิก  คือ  ปรัชญาการเมืองคลาสสิกไม่สามารถทำให้ข้อสงสัยข้อท้วงติงหมดไปได้  ฮอบส์เสนอให้ตั้งข้อสงสัยอย่างเต็มที่กับ  ปัญญา  หรือ  วิทยาศาสตร์  ศาสตร์อย่างเดียวที่ฮอบส์เห็นว่ามีคุณสมบัติดังกล่าคือ  คณิตศาสตร์  ปรัชญาของฮอบส์ต้องมีรากฐานอยู่บนคณิตศาสตร์
          ฮอบส์  เห็นว่าจักรวาลไม่มีอะไรนอกจากวัตถุและการเคลื่อนไหวของวัตถุ  มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน  สาระสำคัญของจิตมนุษย์ก็คือการเคลื่อนไหว  การกระทำของมนุษย์เป็นการเคลื่อนไหวไปสู่หรือหนีออกจากสิ่งที่ทำให้มนุษย์นิยมชมชอบหรือรังเกียจ  คือระหว่างความปรารถนาและความกลัว
          สาระสำคัญในตัวมนุษย์คือความต้องการ  ไม่ใช่เหตุผล  ความต้องการรุนแรงของมนุษย์คือ  ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่  แรงกระตุ้นที่มีพลังที่สุดของมนุษย์คือ  ความกลัวตาย   โดยเฉพาะความ
ตายที่รุนแรงอันเกิดจากน้ำมือของมนุษย์เอง
          ฮอบส์  กล่าวว่า  ความบกพร่องของปรัชญาการเมืองคลาสสิกที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ  ข้อสมมติฐานที่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์การเมืองโดยธรรมชาติ  มนุษย์ไม่สามารถบรรลุถึงความสมบูรณ์แห่งธรรมชาติของตนได้นอกจากอาศัยสังคมการเมือง ฮอบส์เห็นว่าความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ของมนุษย์เป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของความยุติธรรมและศีลธรรม ก่อนมีสังคมการเมืองต้องมีสภาพธรรมชาติ  ลักษณะเด่นคือ ภาวะแห่งการมีสิทธิตามธรรมชาติอันสมบูรณ์ คือความเป็นจริงทางศีลธรรมและการเมืองมูลฐานที่สำคัญที่สุด สิทธิโดยธรรมชาติ ไม่ใช่หน้าที่โดยธรรมชาติของมนุษย์เป็นหลัก สัจจะทางศีลธรรมที่แท้จริงที่สุดคือ สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ในอันพิทักษ์รักษาชีวิตของตนเอง
          แทนที่จะพูดถึงรัฐที่ดีที่สุด  ฮอบส์หันมาพูดถึง  รัฐบาลที่ชอบธรรม  รัฐมีหน้าที่หลักในการพิทักษ์รักษาสิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์เท่านั้น  ไม่ใช่ส่งเสริมชีวิตแห่งคุณธรรม
          จอห์น  ล็อค  รับเอาเค้าโครงทางความคิดจากฮอบส์เกือบทั้งหมด  การเปลี่ยนแปลงจุดสำคัญจุดเดียวคือ  ส่วนที่ว่าด้วยทรัพย์สิน
          ล็อค  มนุษย์ต้องการพิทักษ์รักษาชีวิตของตนเองนั้น น่าจะเป็นอาหารหรือทรัพย์สินมากกว่าอาวุธ  สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของล็อคคือ  ความคิดเรื่องเสรีภาพทางการเมือง
          ปรัชญาการเมืองสมัยใหม่เบี่ยงเบนเป้าหมายสูงสุดของมนุษย์มาเป็นจุดเริ่มต้นของมนุษย์แทน  ด้วยแนวความคิดของ  รุสโซ  เสนอว่า สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ยังคงสถานะเดิมอยู่แม้ได้เกิดสังคมการเมืองขึ้น  นั่นคือกฏแห่งธรรมชาติ    รุสโซ  จึงได้เสนอโครงร่างของสังคมการเมือง  ที่ทำให้มีการอ้างถึงกฎแห่งธรรมชาติเหนือกฎหมายที่เป็นตัวตนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด  สังคมการเมืองถูกสร้างขึ้นมาอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ  ก็จะให้กำเนินกฎหมายที่ยุติธรรมในตัวเอง  รุสโซเห็นว่าเจตนาร่วมจะไม่มีวันผิด  หรือกล่าวให้สอดคล้องกับยุคสมัยว่า  เสียงของประชาชนซึ่งเป็นเสียงขององค์อธิปัตย์  ย่อมเป็นเสียงที่ถูกต้องเสมอ
            1.1.4  ปรัชญาการเมืองสมัยใหม่และโลกในปัจจุบัน     
          ปรัชญายุคคลาสสิกซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  เป็นสิ่งเลวร้ายล้าสมัย  ข้อท้วงติงของปรัชญาการเมืองคลาสสิกที่ว่า  ประชาธิปไตยหรือการปกครองโดยคนข้างมาก  ไม่ใช่วิธีการอันเหมาะสมที่จะบรรลุถึงคุณธรรม  ก็เป็นข้ออ้างที่ไม่จริงอีกต่อไป  เพราะความเจริญทางวิทยาศาสตร์เจริญไปอย่างมาก เมื่อให้การศึกษาอย่างสากล  หรือ  การรู้แจ้งปรัชญาเมธีสมัยใหม่ สังคมดีขึ้นหรือเจริญขึ้นได้ย่อมขึ้นอยู่กับสถาบันในสังคม เช่นสถาบันการปกครอง สถาบันทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่การอบรมบ่มนิสัยสร้างบุคคลอย่างที่ปรัชญาคลาสสิกยึดถือ
1.2  ฐานะและเนื้อหาสาระของปรัชญาการเมือง
            1.2.1  ฐานะของปรัชญาทางการเมือง
          ปรัชญาวิทยาศาสตร์ช่วยให้เข้าใจของมนุษย์ที่มีโดยธรรมชาติต่อโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น  แต่เนื้อแท้แล้วปรัชญาการเมืองสมัยใหม่ไม่ละทิ้งลักษณะการแนะนำในสิ่งที่ควรเป็น หรือควรทำ ทั้งๆ ที่ปรัชญาการเมืองสมัยใหม่สอนมีลักษณะของความควรไม่ควร  ที่ขัดกับปรัชญาการเมืองคลาสสิกก็ตาม 
          การปฏิวัติ  ของแมคเคียเวลลี  ต่อปรัชญาการเมืองคลาสสิกอย่างรุนแรง  เริ่มขึ้น ศตวรรษที่  17 18 เมื่อความเจริญก้าวหน้าทางธรรมชาติวิทยา
            ฐานะของปรัชญา
          ในปัจจุบัน  ฐานะของปรัชญาและปรัชญาการเมืองตกต่ำเพราะ สังคมศาสตร์ได้ยอมรับเอาข้ออ้างของวิทยาศาสตร์และบรรทัดฐานของตน
          สังคมศาสตร์ในปัจจุบันถือว่าความเห็นของโสเกรติสในเรื่องความดี  ความกล้าหาญ  ความยุติธรรม  ล้วนเป็นเรื่องไม่มีหลักเกณฑ์ไม่อาจพิสูจน์ได้  หลักปรัชญาของโสเกรติส  เพลโต  อริสโตเติล  ก็เป็นเพียงแค่ระบบค่านิยม
          นักสังคมศาสตร์ต้องแยกค่านิยมออกจากข้อเท็จจริง  เพราะค่านิยมเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้  ในทางตรงกันข้าม  สังคมศาสตร์ต้องศึกษาค่านิยม
          นักสังคมศาสตร์  แมกซ์  เวเบอร์  เชื่อว่าค่านิยมเกี่ยวกับ  ควรไม่ควร  หรือ  ระบบค่านิยมที่ถูกต้อง  เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจรู้ได้เลย  สังคมศาสตร์จำเป็นต้องมีลักษณะ  ปลอดจากการประเมินค่านิยม
            ปรัชญาการเมืองและรัฐศาสตร์แผนใหม่
          ต้นศตวรรษที่  10  รัฐศาสตร์ที่รวมอยู่ในสังคมศาสตร์ที่แมคเคียวเวลลีได้ริเริ่มไว้  มาเป็นรัฐศาสตร์อย่างถูกต้องอยู่ทุกวันนี้อย่างสมบูรณ์  นักรัฐศาสตร์ในปัจจุบันเริ่มศึกษาวิจัยเรื่องที่  เกิดขึ้นหรือเป็นอยู่จริงๆ มากขึ้น  แต่ที่สำคัญที่สุดคือในปัจจุบันนักรัฐศาสตร์จำนวนไม่น้อยเลิกเชื่อว่าจะมีศาสตร์ในทางปฏิบัติ
          เพราะฉะนั้นรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน  แทนที่จะมีรากฐานบนประสบการณ์ทางการเมือง  ต้องมีรากฐานบนจิตวิทยาศาสตร์ เพราะรัฐศาสตร์ในปัจจุบันมุ่งมั่นที่จะค้นพบกฎแห่งพฤติกรรมทางการเมือง  ซึ่งเป็นกฎสากลที่นักรัฐศาสตร์สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในทางทำนายได้  นักรัฐศาสตร์จำเป็นต้องมองการเมืองจากแง่ผู้สังเกตการณ์ที่เป็นกลาง  จะต้องเข้าใจว่าระบบค่านิยมต่างๆ เป็นเรื่องภายในจิตใจของบุคคล
            การนำเอาวิธีทาง วิทยาศาสตร์ มาใช้ในรัฐศาสตร์ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเนื้อหาของวิชารัฐศาสตร์อย่างใหญ่หลวง
          การนำเอาวิธีแบบวิทยาศาสตร์ในการศึกษารัฐศาสตร์หรือวิธีการสังเกต  ช่วยให้นักรัฐศาสตร์ได้ความแน่นอนมากขึ้น  แต่วิธีการศึกษาทางรัฐศาสตร์โดยตัวมันเองไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรเป็นเรื่องของการเมืองหรือไม่  เช่น  การปฏิวัติรัฐประหาร  พฤติกรรมทางการเมืองฯ
          ปัญหาที่ควรแก่การศึกษามากที่สุด อันเกิดจากการนำเอาวิธีแบบวิทยาศาสตร์มาใช้ในรัฐศาสตร์อย่างเคร่งครัด  ได้แก่  การก่อให้เกิดหลักการค่านิยมผันแปร  ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ต้องแยกค่านิยมออกจากข้อเท็จจริง  เพราะข้อเท็จจริงไม่สามารถบอกอะไรได้มากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเลย
          รัฐศาสตร์ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าระบบค่านิยมที่สูงสุดไม่มี  แต่ในขณะเดียวกันไม่มีทางพิสูจน์ได้ว่ามันมีจริงหรือไม่
          อัลเบิร์ต  ไอสไตน์  ได้กล่าไว้ตอนหนึ่งในบทความเรื่อง  อิสภาพและวิทยาศาสตร์  ว่า  ถ้าใครสักคนหนึ่งเห็นพ้องกับหลักการว่าควรล้างผลาญเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้หมดสิ้นไปจากโลกนี้ เราก็ไม่อาจหักล้างความคิดเช่นนั้นได้
            1.2.2  เนื้อหาสาระของปรัชญาการเมือง
          ปรัชญาการเมือง แตกต่างจากความคิดทางการเมือง  เพราะความคิดทางการเมืองเป็นเพียงการสะท้อนความคิด  แม้แต่จินตนาการว่าด้วยหลักเบื้องต้นทางการเมือง  เกิดขึ้นโดยเจตนาสนับสนุนหรือเพื่อป้องกันความเชื่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้  ความคิดทางการเมืองมีความหมายใกล้เคียงกับอุดมการณ์ทางการเมือง  เป็นความคิดทางการเมืองที่มุ่งผลในทางปฏิบัติ  ในขณะที่ปรัชญาการเมืองเป็นความพยายามที่จะรู้ทางธรรมชาติของสิ่งที่เป็นการเมืองและระเบียบทางการเมืองที่ดี  สนใจใฝ่หาความจริงหรือสัจจะ
          ทฤษฎีทางการเมือง  หมายถึงกฎแห่งพฤติกรรมทางการเมืองซึ่งเป็นสากล  ที่นักรัฐศาสตร์สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการทำนายเหตุการณ์ในอนาคตได้ โดยทั่วๆ ไป มีความหมายแรกใกล้เคียงกับปรัชญาการเมือง  ความหมายที่สองเกิดขึ้นในต้นศตวรรษที่  20  ลักษณะหนึ่งของปรัชญาการเมืองแตกต่างจากความคิดทางการเมือง  อุดมการณ์ทางการเมือง หรือทฤษฎีทางการเมือง  ปรัชญาตะวันตกหนักดีว่าคนส่วนใหญ่มักไม่สามารถแยกสิ่งที่เป็นของตนเองออกจากสิ่งที่ดี  การพยายามแสวงหาความจริงโดยมุ่งเป็นประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง  ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
1.3  แนวทางการศึกษาปรัชญาทางการเมือง
            1.3.1  แนวทางการศึกษาปรัชญาการเมืองในโลกตะวันตก
          เนื้อหาของปรัชญาการเมืองนั้นยากยิ่งที่จะนำมาศึกษาในห้องเรียน  เพราะการศึกษาปรัชญาการเมืองที่แท้จริงหมายถึง  ต้องมีการอ่านตัวบท เริ่มศตวรรษที่  20  ปัญหาเรื่องภาษา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแปรสภาพของปรัชญาการเมืองมาเป็นวิชาที่ศึกษากันในมหาวิทยาลัย  ทำให้การศึกษาปรัชญาการเมืองเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับงานเขียนของปรัชญาเมธี  ความหมายต่างๆ  การศึกษาปรัชญาการเมืองกลายเป็นการศึกษา  ประวัติความคิดทางการเมือง  แบบผู้สอนให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่สภาพแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ ภาวะความเสื่อมโทรมของปรัชญาการเมือง  เนื่องจากไม่มีผลงานเขียนทางปรัชญาการเมืองที่สำคัญๆ เกิดขึ้นเลยในศตวรรษที่  20  นี้
          วงการวิชารัฐศาสตร์โลกตะวันตกมีทรรศนะต่อเนื้อหาสาระของวิชาปรัชญาการเมืองแตกต่างกันเป็น  2  กลุ่มใหญ่  คือ
          กลุ่มที่ 1  มองว่าปรัชญาการเมืองอย่างที่เป็นในอดีต  มีส่วนรับผิดชอบหรือมีส่วนก่อให้เกิดภาพหลอนอันน่าสมเพชของสถานการณ์โลก  ที่ปรากฏชัดเจนภายหลังสงครามโลกครั้งที่  2  เป็นต้นมา  ความเป็นจริงในทางปฏิบัติ  คือสิ่งเข้ามาแทนที่ความคิดของปรัชญาการเมืองแบบเดิม  และมีความเห็นว่า  ปรัชญาการเมืองไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าประวัติภูมิปัญญา
            กลุ่มที่  2  อีกพวกหนึ่ง  เห็นว่าปรัชญาการเมืองจำเป็นมากในสภาพการณ์ในปัจจุบัน  เพื่อโต้กับ  ได้แก่
          1. แนวโน้มที่ให้ปรัชญาการเมืองเป็นแค่วิชาความคิด  ที่เน้นเป็นประวัติศาสตร์ของเนื้อหาสาระ
          2. ความพยายามทำให้วิชารัฐศาสตร์โดยส่วนรวมเป็นพฤติกรรมศาสตร์แขนงหนึ่ง  หรือ
          3. แนวโน้มที่จะจำกัดภาระและวิธีการของปรัชญา
          สำหรับที่เห็นว่า  วิชาปรัชญาการเมืองมีคุณค่าแก่การศึกษาอย่างจริงจัง  จึงได้เกิดตำราด้านปรัชญาการเมือง  ที่เป็นการ  ตีความ 
            แนวทางการตีความงานเขียนทางปรัชญาการเมืองที่สำคัญๆ มี  6  วิธี  ได้แก่
            1. การวิเคราะห์ตัวบทอย่างละเอียด
          1.1 เพื่อหาความหมายที่ปรัชญาเมธีที่จะสื่อ  โดยพิจารณาจากคำจำกัดความและอธิบายของคำที่ปรัชญาเมธีเลือกใช้ในงานเขียนของตน
          1.2 เพื่อพิจารณาส่วนของงานเขียนชิ้นใดชิ้นหนึ่งของแง่ผลงานเขียนชิ้นนั้น ๆ ทั้งหมด
          1.3 เพื่อพิจารณาว่าผลงานเขียนชิ้นใดชิ้นหนึ่ง  จากแง่ผลงานทั้งหมดในชั่วชีวิตของปรัชญาเมธีนั้น ๆ ว่ามีความต่อเนื่องหรือไม่
          1.4 เพื่อวิเคราะห์ผลงานชิ้นใดชิ้นหนึ่ง  จากแง่การประพันธ์การเขียนว่ามีความสำคัญอย่างไรหรือไม่กับการเสนอแนวความคิดและวิธีตีความอย่างถูกต้อง
          1.5 เพื่อวิเคราะห์งานเขียนชิ้นใดชิ้นหนึ่งอย่างละเอียด  เพื่อหาความหมายที่แท้จริงที่ปรัชญาเมธีประสงค์จะสื่อถึงผู้อ่าน
            2. การแยกแยะระหว่างเจตนาของปรัชญาเมธีและผลอันเกิดจากการยอมรับความเห็นนั้นๆ
          แนวทางที่  1  เน้นการหาความหมายจากความตั้งใจหรือเจตนาของตัวปรัชญาเมธีเป็นสำคัญ
          แนวทางที่  2  กลับให้ความสำคัญแก่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในทางการเมืองจากการตีความคิดนั้นๆ แล้วนำไปปฏิบัติจริง ๆ  ความหมายหรือผลกระทบที่ตามมาทีหลังอาจไม่ใช่สิ่งที่ปรัชญาเมธีนั้นๆ คาดคะเนไว้ล่วงหน้า
            3. การศึกษาประวัติของปรัชญาเมธี
          งานเขียนของปรัชญาเมธีมีความต่อเนื่องกันอย่างไร  เช่น  มาร์กซ์ทนทุกข์ทรมานด้วยโรคฝีขณะเขียนทำให้เขาก้าวร้าวเป็นพิเศษกับนายทุนในผลงานเขียนชิ้นนั้น  โรคไตของรุสโซ  ทำให้งานเขียนไม่ปะติดปะต่อกัน
            4. แนวทางจิตวิทยา
          คือนำเอาจิตวิทยาและจิตวิเคราะห์มาใช้ศึกษาปรัชญาเมธี  ความคิดปรัชญาเมธีที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นเพียงจุดเริ่มต้นข้อมูล  ผู้ศึกษาจะพิจารณาชีวิตและกระบวนการผลิตผลงานทั้งหมดของตัวปรัชญาเมธี  เพื่อนำมาสร้างให้เห็นขั้นตอนการเกิดความคิดของปรัชญาเมธีนั้นๆ คำอธิบายมักจะปรากฏออกมาในรูปแบบของพลังกระตุ้นต่างๆ
            5. แนวทางอุดมการณ์
          แนวทางนี้นำเอาสูตรสำเร็จทางอุดมการณ์ที่มีอยู่แล้วมาเป็นเครื่องมือในการอธิบายความคิดของปรัชญาเมธี  แต่อันตรายที่เห็นได้ชัดที่สุดแนวทางนี้อยู่ที่ว่าการประเมินค่าผลงานของปรัชญาเมธีโดยวิธีนี้  จะกำเนิดจากแนวคิดและบทสรุปที่ถูกกำหนดอยู่ในความคิดของผู้ศึกษาก่อนแล้ว
            6. แนวทางประวัติศาสตร์
          เป็นแนวทางที่พยายามให้ความสำคัญแก่กาลเวลาและสถานที่ในยุคมัยที่แตกต่างกันออกไป  ในการศึกษาตัวปรัชญาเมธีละผลงาน  สิ่งที่แนวทางนี้พยายามกระทำได้แก่ชี้ให้เห็นบริบทแห่งความสลับซับซ้อนของเหตุการณ์หรือความคิดหนึ่งที่จะต้องถูกเข้าใจ
            แนวทางการศึกษาปรัชญาการเมืองในประเทศไทยในอดีตและปัจจุบัน
          ประเทศไทยวิชานี้ปัจจุบันเรียกว่าปรัชญาการเมือง  ความคิดทางการเมือง  ประวัติความคิดทางการเมือง  ทฤษฎีทางการเมือง  สันนิษฐานได้ว่าเริ่มมีการสอนในมหาวิทยาลัยในประเทศไทยประมาณกลางทศวรรษของปี  ค.ศ. 1950  เป็นต้นมา เพราะเป็นช่วงนักสังคมศาสตร์ไทยรุ่นแรกๆ ที่จบการศึกษามาจากประเทศสหรัฐอเมริกา  เริ่มกลับมาเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย และเป็นช่วงของหลักสูตรของคณะรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย  เริ่มมีการสอดแทรกวิชารัฐศาสตร์แท้ๆ เข้าไว้ในหลักสูตรเดิม  ที่เตรียมตัวให้นิสิตนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์เข้าไปรับราชการกระทรวงมหาดไทย  หรือกระทรวงต่างประเทศเพียงอย่างเดียว
          สมัยนั้นความเอาจริงเอาจังในวิชานี้มีน้อยเนื่องจาก ความจำกัดบุคลากรผู้สอน ภาระการสอนหนักเกินไป  การขาดแคลนอุปกรณ์การสอน ในโลกตะวันตกวิชานี้ถือว่าเป็น หัวใจ ของรัฐศาสตร์มาก่อน  แล้วค่อยลดความสำคัญลงหลังสงครามโลกครั้งที่  2  ในประเทศไทยวิชานี้ถือว่าเป็นวิชา ประกอบ  ในหลักสูตรของรัฐศาสตร์เท่านั้น
          ข้อจำกัดของเนื้อหาที่เป็นตะวันตกล้วนๆ บวกกับอาศัยการบรรยายเป็นหลัก นอกจากวิชาประวัติ  ความคิดทางการเมืองที่แคบและตายตัว  นักศึกษาคงเข้าใจเพียงว่านักคิดคนสำคัญมีใครบ้าง  แต่ละคนเกิดขึ้นมาในช่วงใดสมัยใด  แต่ละคนมีผลงานสำคัญๆ อะไรบ้าง  มีความสำคัญในยุคนั้นอย่างไร
          เมื่อเริ่มมีการแปลตำราที่นักวิชาการชาวต่างประเทศเขียนที่เป็นตำราชั้นสอง  นักศึกษาถือเอาตำราเพียงเล่มเดียวหรือไม่กี่เล่มเป็นเสมือนความจริงทั้งหมด ในขณะที่นักศึกษาสหรัฐอเมริกามีปริมาณหนังสือที่มีการเขียนตีความ  และให้ความสำคัญแก่ทฤษฎีและนักทฤษฎีต่างๆ ซึ่งนักศึกษากำลังศึกษาอยู่อย่างแตกต่างกันออกไปมากมาย  การสอนวิชานี้ในประเทศไทย  กลับเป็นปรนัยแบบเดียวกับวิชาทั้งหลาย เช่น  วิชาเคมี  ชีววิทยา
          ในประเทศไทย  ผู้สอนส่วนใหญ่จะถ่ายทอดสิ่งที่ตนเรียนรู้มาจากตำราภาษาต่างประเทศไปสู่นิสิตนักศึกษาในรูปของ  ประวัติ ความคิดเป็นส่วนใหญ่ ผู้เรียนวิชานี้ในประเทศไทยส่วนใหญ่แทบไม่มีโอกาสรับรู้เลยคือ การวิเคราะห์ตัวบทอย่างละเอียด
          การแปลวิชานี้ให้กลายเป็นวิชา  ประวัติ ความคิดทางการเมือง ในโลกตะวันตกมีพื้นฐานแนวความคิดที่ว่า ผู้มาทีหลังเป็นผู้สอนและผู้เรียนสามารถรู้จักและเข้าใจปรัชญาเมธีเหล่านั้นรู้จักตัวเองเสียอีก เพราะผู้มาทีหลังมีโอกาสที่จะมีความรู้สำคัญๆ ที่ปรัชญายุคนั้นไม่อาจมีได้ ดังนั้น วิชานี้มีจุดเน้นอยู่ที่ความแม่นยำของการจดจำมากกว่าการวิเคราะห์
            การศึกษาตัวบท  เหตุผลและความจำเป็น                                                                                                                                                                                                                                                                                                                       
          โดยทั่วๆ ไปมักไม่คุ้นเคยกับปรัชญาการเมือง  มักเข้าใจว่าปรัชญาการเมืองคือผู้ที่อ่านงานหลักของนักคิดสำคัญ ๆ โดยความสำคัญนักคิดเหล่านี้อาจวัดได้จากอิทธิพลหรือความสำคัญของพลังในการวิเคราะห์การเมือง  สำหรับจำนวนนักคิดเหล่านี้ก็เน้นค่าสำคัญ  ปรัชญาเมธีที่สำคัญๆ มักถูกมองว่าเป็นการจำกัดขอบเขตและภาระปรัชญาการเมืองมากเกินไป
          แนวโน้มของโลกปัจจุบันที่ยอมรับลักษณะความเป็นประวัติแนวความคิด การยอมรับลักษณะความสัมพันธ์ของค่าวัฒนธรรมตลอดทฤษฎีที่เน้นว่า  เฉพาะสิ่งที่ใช้อายตนะทั้งห้าเท่านั้นที่มนุษย์อาจล่วงรู้ได้ ล้วนแต่เป็นส่วนที่ผลักดันให้เพิกเฉยต่องานหลักทางปรัชญาการเมืองที่เคยมีความสำคัญในอดีต
          จุดที่สำคัญเราต้องพยายามรับฟังที่ปรัชญาเมธีประสงค์จะสื่อแก่เรา  เราต้องพยายามแสวงหาว่าอะไรคือคำถามที่ปรัชญาเมธีพยายามที่จะตอบ
          ท่าที ทัศนคติ  ที่ถูกต้องเหมาะสมแก่การศึกษาแล้ว  ทำอย่างไรที่จะเข้าใจปรัชญาเมธีอย่างที่เขาเข้าใจตนเอง  ในทางปฏิบัติ  การศึกษาผลงานปรัชญาเมธีอย่างละเอียดและอย่างระมัดระวังที่สุด  ปรัชญาเมธีเข้าใจในปัญหานี้คือ  ปัญหาความขัดแย้งระหว่างปรัชญาการเมือง  จึงต้องเขียนแสดงความเห็นออกมาในรูปแบบเปิดโอกาสให้คนเพียงไม่กี่คนเข้าใจ
          ถึงกระนั้น  คำถามผู้ที่สนใจปรัชญาการเมืองมักถูกถามอยู่เนื่องๆ ว่า ท่านกล่าวมาทั้งหมดนี้ก็น่าสนใจดีอยู่หรอก  แต่จะมีประโยชน์อะไรที่มาศึกษางานเขียนของปรัชญาเมธีที่ล่วงลับไปนานแล้ว
            แนวทางการศึกษาปรัชญาในประเทศไทยในอนาคต
          หากวัดด้วยกาลเวลาปรัชญาการเมืองของไทยเกิดขึ้นมายาวนานตั้งแต่นำเอาวิชารัฐศาสตร์ตะวันตกมาศึกษาในประเทศไทย  หากนับปริมาณหนังสือปัจจุบันมีมากพอสมควร การผลิตตำรา เพื่อใช้ประกอบการบรรยาย  เป็นแนวทางการศึกษาค้นคว้าความรู้ต่อไป ไม่สามารถหาสิ่งที่เป็นตัวบทหรือแก่นของเรื่องที่ผู้ผลิตตำราส่วนใหญ่ผลิตเพื่อประกอบเท่านั้น 
          ประเทศที่พัฒนาแล้วมีปัญหาในเรื่องจำนวนตำตาที่มีจำนวนมาก  ส่วนประเทศไทยกลับมีอุดมการณ์ไปด้วย  ตัวประกอบ  ไม่สามารถทำให้ตัวประกอบทั้งหลายมีความหมายขึ้นมา

          การศึกษาปรัชญาการเมืองได้รับความสนใจมากในปัจจุบัน  เพราะสังคมไทยมีการตื่นตัวทางการเมืองเพิ่มขึ้นมาก  มีความจำเป็นที่ต้องเน้นการศึกษาและเปิดโอกาสให้แก่นักศึกษาได้สัมผัสกับปรัชญาการเมืองโดยตรงมากขึ้น  แต่โอกาสและความเป็นไปได้ของการศึกษาปรัชญาการเมืองส่วนหนึ่งต้องขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของผู้สอน จะเลือกเอาวิธีผลิตผลงานประเภทแปลและเรียบเรียงงานตีความสำเร็จรูปออกมาแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น