วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

องค์กรนิติบัญญัติ

องค์กรนิติบัญญัติ
ตอนที่ 5.1  :  แนวความคิดเกี่ยวกับองค์กรนิติบัญญัติในระบอบประชาธิปไตย
เรื่องที่ 5.1.1  :  การแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ในการใช้อำนาจอธิปไตย
1.    ในอดีตมีการถกเถียงเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 แนวความคิด คือ
                (1)  กลุ่มแนวความคิดลัทธิเทพาธิปไตยถือว่า อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์
                (2)  กลุ่มแนวความคิดลัทธิประชาธิปไตยถือว่า ราษฎรเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดนี้
2.    มองเตสกิเออ นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส ได้ศึกษาถึงการปกครองของประเทศอังกฤษและได้อธิบายไว้ว่า ในรัฐๆ หนึ่งย่อมมีอำนาจอยู่ 3 ประเภท คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ
3.    หลักการแบ่งแยกอำนาจของมองเตสกิเออ ถูกนำไปใช้เป็นหลักในการร่างรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกเมื่อได้ประกาศแยกเป็นเอกราชจากอังกฤษ  ต่อมารัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสฉบับแรกก็ได้ใช้หลักการแบ่งแยกอำนาจของมองเตสกิเออด้วยเช่นกัน
4.    เมื่อมีการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยแล้ว ก็ต้องมีองค์กรผู้ใช้อำนาจแต่ละอำนาจ ดังนี้

                (1)  องค์กรผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ คือ  รัฐสภา
                (2)  องค์กรผู้ใช้อำนาจบริหาร คือ  คณะรัฐมนตรี หรือประธานาธิบดี หรือประมุขของฝ่ายบริหารที่เรียก
                       ชื่อเป็นอย่างอื่น
                (3)  องค์การผู้ใช้อำนาจตุลาการ คือ  ศาล
เรื่องที่ 5.1.2  :  วิวัฒนาการขององค์กรนิติบัญญัติในระบอบการปกครองแบบรัฐสภา
1.    ระบบการปกครองแบบรัฐสภา เริ่มมีขึ้นในประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะแพร่หลายไปยังประเทศต่างๆ  และด้วยความต่อเนื่องและวิวัฒนาการเรื่อยมาของการปกครองแบบรัฐสภาของประเทศอังกฤษ จึงได้รับการยกย่องและได้รับสมญานามว่า เป็นแม่บทของรัฐสภาของประเทศอื่นๆ
2.    วิวัฒนาการทางการปกครองแบบรัฐสภาของประเทศอังกฤษ โดยสรุปมีดังนี้
                (1)  ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 อังกฤษมีการปกครองตามลัทธิฟิวดัล (Feudalism) กล่าวคือ เจ้าครองนครต่างๆ เรียกว่าวาสซัล” (Vassal) ได้รับการแบ่งสันปันส่วนการปกครองดินแดนอังกฤษ โดยเป็นผู้รับใช้กษัตริย์ของอังกฤษ เวลามีศึกสงครามกษัตริย์อังกฤษจะคอยคุ้มครองป้องกันเป็นการตอบแทน
                (2)  ต่อมาในศตวรรษที่ 12 ได้เกิดประเพณีการปกครองอังกฤษขึ้นใหม่ กล่าวคือ เมื่อกษัตริย์จะบัญญัติกฎหมายสำคัญต้องปรึกษาหารือกับคอนซิลเลียม” (Concillium) ก่อน องค์กรนี้ประกอบด้วยพระราชาคณะ พวกขุนนางคนสำคัญชั้นบารอน (ระดับเจ้าครองนคร) มีฐานะเป็นสภาที่ปรึกษาในการออกกฎหมาย          
                (3)  ในศตวรรษที่ 13 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นแม็กนั่ม คอนซิเลียม” (Magnum Concillium) และยังเพิ่มอีกบทบาทหน้าที่หนึ่งคือ เป็นศาลพิจารณาคดีในอำนาจของกษัตริย์อีกด้วย
                (4)  เมื่อปี ค..1215 บรรดาพระราชาคณะและพวกบารอน ได้บังคับพระเจ้าจอห์นลงนามในบทบัญญัติกำหนดอำนาจ เรียกว่าแม็กนา คาร์ตา” (Magna Carta) ซึ่งมีสาระสำคัญ 2 ประการ คือ
                                - การเก็บภาษี จะต้องเป็นไปตามความเห็นของสภาแม็กนัม คอนซิลเลียม
                                - บุคคลทุกคนย่อมเป็นอิสระ จะไม่ถูกจับกุม คุมขัง โดยมิได้มีคำพิพากษาและมิได้มีกฎหมาย
                                   กำหนดโทษไว้
                (5)  ในปี ค..1295 มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรขึ้นเป็นครั้งแรก เรียกว่า Great and Model Parliament สภาผู้แทนราษฎรนี้จะปฏิบัติหน้าที่ควบคู่กับสภาแม็กนัม คอนซิลเลียม
                (6)  ตั้งแต่ในศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมา สภาทั้งสองได้แยกออกจากกัน โดย
                                - สภาแม็กนัม คอนซิลเลียม ได้เปลี่ยนชื่อเป็นสภาขุนนาง” (House of Lords)
                                - สภาผู้แทนราษฎร ได้เปลี่ยนชื่อเป็นสภาสามัญ” (House of Commons)
                (7)  ในคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 กษัตริย์อังกฤษพยายามที่จะกู้พระราชอำนาจที่ถูกจำกัดโดยสภาขุนนาง เกิดการสู้รบกันระหว่างกองทัพกษัตริย์และกองทัพของรัฐสภา ในที่สุดรัฐสภาเป็นฝ่ายมีชัย ทำให้รัฐสภามีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอีกมาก 
                (8)  ปี ค..1688 ก่อนเจ้าชายวิลเลียมขึ้นครองราชย์ พวกขุนนางได้ขอให้พระองค์ยอมรับพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิ ค..1688 ซึ่งมีข้อบัญญัติเกี่ยวกับ
                                - การค้ำประกันสิทธิเสรีภาพของปวงชน
                                - การห้ามมิให้กษัตริย์ยับยั้งหน่วงเหนี่ยวกฎหมายใดๆ
                                - การห้ามเรียกเก็บภาษี โดยมิได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
                                - การห้ามมีกองทัพไว้ในประเทศ โดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐสภา
                                - เงินประจำตำแหน่งที่กษัตริย์อังกฤษได้รับ จะต้องเป็นไปตามความเห็นชอบของรัฐสภา
                (9)  วิวัฒนาการทางการปกครองของอังกฤษมีความพยายามที่จะริดรอนอำนาจสิทธิ์ขาดของกษัตริย์ ในการปกครองประเทศลงทีละน้อย ขณะเดียวกันสภาสามัญของอังกฤษก็พยายามเพิ่มพูนอำนาจและอิทธิพลให้กับตนมากขึ้น เพราะถือว่าเป็นสภาที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน จนในที่สุด สิทธิในการออกกฎหมายก็ตกอยู่ในมือของสภาสามัญ เช่น การประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยรัฐสภา ค..1911
เรื่องที่ 5.1.3  :  ความเป็นมาขององค์กรนิติบัญญัติในระบอบประชาธิปไตยของไทย
1.    ความเป็นมาเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ 5
                (1)  ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) ทำหน้าที่ถวายคำปรึกษาเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินและดำเนินการปรับปรุงระบบการบริหารด้วย และทรงตั้งสภาองคมนตรี (Privy Council) ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์และช่วยราชการอื่นตามที่จะทรงมอบหมาย แต่การดำเนินงานทั้งสองสภาไม่เป็นไปตามพระราชประสงค์นัก เนื่องจากบรรดาสมาชิกสภาไม่มีความรู้ในการปฏิบัติงานร่วมกัน ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นบ้าง เกรงกลัวเกรงใจเสนาบดีบ้าง
                (2)  ทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ รศ.116 เพื่อริเริ่มให้ประชาชน (ให้สิทธิแก่สตรีด้วย) ได้เรียนรู้วิธีการเลือกตั้ง โดยให้ประชาชนเลือกตั้งคนในหมู่บ้านเดียวกันเป็นผู้ใหญ่บ้าน และให้ผู้ใหญ่บ้านเลือกกันเองเป็นกำนัน
                (3)  ทรงเลิกทาส ซึ่งนอกจากจะเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์ ยังเป็นรากฐานในเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนชาวไทย ในการก้าวเข้าสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย
                (4)  ทรงตราพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลท่าฉลอม พ..2448 เพื่อริเริ่มให้มีการปกครองท้องถิ่น
2.    ความเป็นมาเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ 6
                (1)  ในช่วงปลายรัชกาลที่ 5 ต่อกับต้นรัชกาลที่ 6 มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในต่างประเทศเกิดขึ้นหลายประเทศ เช่น ประเทศตุรกีเมื่อปี 2451  ประเทศจีนเมื่อปี 2454  และประเทศรัสเซียเมื่อปี 2460
                (2)  เมื่อปี พ..2454 มีคณะบุคคลวางแผนเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ เป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ถูกจับได้เสียก่อนและถูกศาลทหารพิจารณาตัดสินคดีลงโทษ ต่อมาพระองค์ได้ทรงลดโทษให้ เนื่องจากทรงเห็นว่า คณะบุคคลเหล่านี้มีเจตนาดีต่อบ้านเมือง และเป็นเจตนาเดียวกับพระองค์ที่ทรงเห็นชอบกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว
                (3)  ทรงตั้งดุสิตธานี ในปี พ..2461 ในบริเวณพระราชวังดุสิต ให้เป็นเมืองจำลองการปกครองในรูปแบบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญ มีเลือกตั้งผู้แทนราษฎร มีการจัดตั้งรัฐบาล มีการประชุมสภา และมีหนังสือพิมพ์เผยแพร่ โดยเล็งเป้าหมายการทดลองไปที่หมู่บุคคลชั้นสูงในสมัยนั้น แต่การณ์มิได้เป็นไปตามพระราชประสงค์ เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ยังไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย
3.    ความเป็นมาเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ 7
                (1)  ความคิดเห็นในเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยในรัชสมัยนี้แพร่ไปทั่ว และเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นทุกระยะ เนื่องจากนโยบายพัฒนาประเทศในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ส่งคนหนุ่มไปศึกษาต่างประเทศ เมื่อคนหนุ่มเหล่านี้สำเร็จการศึกษากลับมา ก็นำเอาแนวความคิดดังกล่าวกลับมาด้วย
                (2)  ทรงให้นายเรมอนด์ บี สตีเวนส์ และพระยาศรีวิสารวาจา ร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเตรียมจะพระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย ในโอกาสวันฉลองพระนครครบรอบ 150 ปี ในวันที่ 6 เมษายน 2475 แต่มีผู้คัดค้านไว้
                (3)  เช้ามืดของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 “คณะราษฎร์ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475 ทรงพระราชทานพระราบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ..2475
                (4)  เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ..2475ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวรแก่ปวงชนชาวไทย และนี่คือมีมาของวันรัฐธรรมนูญ
ตอนที่ 5.2  :  ลักษณะของรัฐสภา
เรื่องที่ 5.2.1  :  รูปแบบของรัฐสภา
1.    รูปแบบรัฐสภา สามารถจำแนกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ
                (1)  รัฐสภาในรูปแบบสภาเดี่ยว (Unicameral) หรือระบบสภาเดียว
                                - ประเทศที่เป็นรัฐเดี่ยวและมีขนาดเล็กมักใช้ระบบสภาเดียว
                                - เป็นระบบที่มีความสลับซับซ้อนน้อย กำดำเนินการทางนิติบัญญัติทำได้รวดเร็ว
                                - กลุ่มประเทศนี้ ได้แก่ ประเทศแถบสแกนดิเนเวีย (ยกเว้นนอรเวย์) อัลบาเนีย บุลกาเรีย
                                   เชคโกสโลวาเกีย ฮังการี โปแลนด์ โรมาเนีย
                (2)  รัฐสภาในรูปแบบสองสภา หรือสภาคู่ (Bicareral) หรือระบบสองสภา
                                - เกิดขึ้นในอังกฤษครั้งแรก ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13
                                - เกิดขึ้นได้ในประเทศที่เป็นสหพันธรัฐ (Federal States) เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย
                                   บราซิล สวิตเซอร์แลนด์
                                - เกิดขึ้นได้ในประเทศที่เป็นรัฐเดียว ซึ่งต้องการสะท้อนให้เห็นถึงความรอบคอบในงานรัฐสภา
                                   และต้องการลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร
2.    ประเทศไทยเคยมีทั้งระบบสภาเดียวและระบบสองสภา แต่ไม่เคยมีระบบสภาเดียวที่สมาชิกสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมด
เรื่องที่ 5.2.2  :  องค์ประกอบของรัฐสภา
1.    รัฐสภา ประกอบด้วย จำนวนสภาซึ่งหมายถึงมีสภาเดียวหรือสองสภา และมวลสมาชิกของสภา ซึ่งมีที่มาจาก
                (1)  มาจากการเลือกตั้งโดยตรง                                        (4)  มาจากการแต่งตั้ง
                (2)  มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม                                       (5)  มาจากผู้แทนกลุ่มชน
                (3)  มาจากการสืบตระกูล (สภาขุนนางในอังกฤษ)
2.    วิธีการเลือกตั้งโดยอ้อม ทำได้โดยให้ประชาชนเลือกบุคคลหรือคณะบุคคลให้ไปใช้สิทธิเลือกสมาชิกรัฐสภาแทนตน ซึ่งประเทศไทยเคยใช้วิธีการนี้มาแล้ว คือ
                - พระราชบัญญัติการเลือกตั้ง พ..2475 กำหนดให้ราษฎรผู้มีสิทธิออกเสียงในตำบลเลือกผู้แทนตำบลๆ
                   ละ 1 คน และให้ผู้แทนตำบลในจังหวัดเลือกตั้งผู้แทนราษฎรจังหวัดละ1 คน
                - รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ..2489 กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนเป็นผู้เลือกสมาชิกพฤฒสภา
เรื่องที่ 5.2.3  :  องค์กรภายในของรัฐสภา
1.    งานหลักของสภาชิกรัฐสภา นอกจากการปฏิบัติงานในสภาแล้ว ยังต้องดูแลทุกข์สุขและรับฟังความต้องการและความคิดเห็นของประชาชนอีกด้วย ดังนั้น จึงต้องมีการแบ่งช่วงเวลาทำงานของสมาชิกรัฐสภาออกเป็น 2 ช่วง คือ         (1)  สมัยประชุมสภา                 (2)  นอกสมัยประชุมสภา
2.    ในสมัยประชุมสภานั้น จะมีระยะเวลาเท่าใดหรือในรอบปีหนึ่งๆ จะมีกี่สมัยประชุมนั้น สุดแล้วแต่จะกำหนดตามความเหมาะสมของรัฐสภาของแต่ละประเทศ
                - ถ้าในรอบปีหนึ่งๆ จะกำหนดสมัยประชุมไว้เป็นการถาวร ก็เรียกว่าสมัยสามัญ
                - ถ้าหากมีความจำเป็นแล้ว รัฐสภาอาจเรียกประชุมสภาเป็นพิเศษ เรียกว่าสมัยวิสามัญ
3.    วัตถุประสงค์ในการกำหนดให้มีสมัยประชุมของรัฐสภา มี 2 ประการ คือ
                (1)  เป็นการเปิดโอกาสให้สมาชิกรัฐสภามีเวลากลับไปหาประชาชนซึ่งตนเป็นผู้แทน
                (2)  เป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหารได้มีเวลาปฏิบัติหน้าที่ในทางบริหารได้อย่างเต็มที่
4.    การแบ่งงานกันทำภายในรัฐสภา แบ่งเป็นดังนี้
                (1)  คณะกรรมาธิการ / คณะอนุกรรมาธิการ
                                - คณะกรรมาธิการสามัญ  เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งไว้ประจำเป็นการถาวรตลอดอายุของสภา
                                - คณะกรรมาธิการวิสามัญ  ตั้งขึ้นด้วยเหตุผลและความจำเป็นเพื่อดำเนินการเฉพาะกิจ
                                - คณะกรรมาธิการร่วมกัน  สำหรับระบบสองสภา หากสภาหนึ่งไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายของ
                  อีกสภาหนึ่ง  ก็จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมจากสองสภาขึ้นมาร่วมพิจารณา
- คณะกรรมาธิการเต็มสภา ในกรณีที่สภารับหลักการในวาระแรกแล้ว และเป็นเรื่องเร่งด่วน
                 และเป็นร่างกฎหมายที่ไม่สลับซับซ้อน รัฐสภาอาจมีมติให้พิจารณารวดเดียว 3 วาระก็ได้
- คณะอนุกรรมาธิการ  โดยคณะกรรมาธิการอาจแต่งตั้งขึ้นมาช่วยปฏิบัติงานในรายละเอียดก็ได้
(2)  ตำแหน่งสำคัญๆ ในรัฐสภา ประกอบด้วย
                                - ประธานรัฐสภา                                - ผู้นำฝ่ายค้านในรัฐสภา
                                - รองประธานรัฐสภา                         - ผู้ควบคุมการลงคะแนนเสียงในสภา
(3)  สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา เป็นหน่วยงานประจำทำหน้าที่ให้บริการในด้านต่างๆ ทั้งข่าวสารข้อมูล วัสดุอุปกรณ์ และงานธุรการ โดยมีเลขาธิการรัฐสภาเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ
5.    เอกสิทธิ์และความคุ้มกันสมาชิกรัฐสภานั้น กฎหมายได้ให้ไว้ 2 ประการ ดังนี้
                (1)  สมาชิกรัฐสภาผู้ใดจะกล่าวคำใดๆ ในที่ประชุมในทางแสดงข้อความ หรือแสดงความเห็น หรือออกเสียงลงคะแนนอย่างใดถือเป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกรัฐสภาผู้นั้น ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องมิได้
                (2)  มีความคุ้มกันในทางอาญา โดยในระหว่างสมัยประชุม ห้ามมิให้จับกุมหรือเรียกตัวสมาชิกรัฐสภาไปกักขังหรือดำเนินคดี
6.    ความเป็นอิสระของหน่วยงานประจำรัฐสภา เพื่อให้ปลอดจากการถูกครอบงำจากฝ่ายบริหาร ซึ่งมี 2 ประการ
                (1)  ความเป็นอิสระในด้านการบริหารงานบุคคล
                (2)  ความเป็นอิสระในด้านงบประมาณและการคลัง
7.    สำหรับประเทศไทยในด้านเกี่ยวกับสำนักเลขาธิการรัฐสภา ดังนี้
                - ตำแหน่งเลขาธิการรัฐสภา เป็นตำแหน่งที่ทรงโปรดเกล้าฯ โดยมีประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามสนอง
                   พระบรมราชโองการ
                - ในด้านการบริหารงานบุคคลนั้น ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายรัฐสภา พ..
                   2518 แยกจากข้าราชการพลเรือน โดยให้อยู่ภายใต้คณะกรรมการข้าราชการฝ่ายรัฐสภา (..)
                - ในด้านงบประมาณและการคลังนั้น ยังคงอยู่ในความควบคุมของฝ่ายบริหาร โดยต้องดำเนินการตาม
                   พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ
ตอนที่ 5.3  :  อำนาจหน้าที่ของรัฐสภา
เรื่องที่ 5.3.1  :  อำนาจหน้าที่ในการจัดทำกฎหมาย
1.    อำนาจหน้าที่ของรัฐสภา พอแบ่งออกได้เป็น 4 ด้าน คือ
                (1)  อำนาจหน้าที่ในการจัดทำกฎหมาย                         (3)  อำนาจหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบ
                (2)  อำนาจหน้าที่ในการควบคุมฝ่ายบริหาร  (4)  อำนาจหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด
2.    กฎหมายที่เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาที่จะจัดทำขึ้นคือ พระราชบัญญัติ ซึ่งกระบวนการตราพระราชบัญญัติมีขั้นตอนดำเนินการดังนี้
                (1)  การเสนอร่าง พ... ซึ่งสามารถเสนอได้ 2 ทาง คือ
                                - คณะรัฐมนตรี                    - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ครม.มีสิทธิขอพิจารณาร่างก่อน 60 วัน)
                (2)  การพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎร
                (3)  การพิจารณาโดยวุฒิสภา
3.    กรณีที่เป็น พ... เกี่ยวกับการเงิน มีหลักปฏิบัติดังนี้
                - .. จะเสนอ พ... เกี่ยวกับการเงินได้ ต้องเป็นคำร้องขอของนายกรัฐมนตรี
                - กรณีสงสัยว่าเป็น พ... เกี่ยวกับการเงินหรือไม่ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้วินิจฉัย
4.    การพิจารณาร่าง พ... โดยสภาผู้แทนราษฎร มีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้
                (1)  การพิจารณาในวาระที่ 1 เพื่อรับหลักการ  ถ้าสภาไม่รับหลักการ ร่าง พ... นั้นก็เป็นอันตกไป แต่ถ้ารับหลักการก็ดำเนินการต่อไปในวาระที่ 2
(2)  การพิจารณาในวาระที่ 2 เพื่อพิจารณาแก้ไขรายละเอียดของร่าง พ... โดยแต่งตั้งคณะกรรมาธิการดำเนินการ หรืออาจใช้คณะกรรมาธิการเต็มสภาก็ได้
                (3)  การพิจารณาในวาระที่ 3 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยไม่มีการอภิปราย  ถ้าไม่เห็นชอบ ร่าง พ...นั้นก็ตกไป  แต่ถ้าเห็นชอบ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเสนอต่อวุฒิสภาต่อไป
5.    การพิจารณาร่าง พ... โดยวุฒิสภา มีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้
                (1)  การพิจารณาในวาระที่ 1 เพื่อรับหลักการ  ถ้าวุฒิสภาไม่รับหลักการ ร่าง พ... นั้นก็เป็นอันตกไป แต่ถ้ารับหลักการก็ดำเนินการต่อไปในวาระที่ 2
(2)  การพิจารณาในวาระที่ 2 เพื่อพิจารณาแก้ไขรายละเอียดของร่าง พ... โดยแต่งตั้งคณะกรรมาธิการดำเนินการ หรืออาจใช้คณะกรรมาธิการเต็มสภาก็ได้
                (3)  การพิจารณาในวาระที่ 3 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบนั้น มีประเด็นที่แตกต่าง ดังนี้
                                - กรณีที่วุฒิสภาเห็นชอบกับสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่มีการแก้ไข ให้ถือว่าร่าง พ...นั้นได้รับ
                                   ความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ /ประกาศราชกิจจา /ใช้บังคับ
                                - กรณีที่วุฒิสภาไม่เห็นชอบกับสภาผู้แทนราษฎร ก็ให้ยับยั้งไว้ก่อนและให้ส่งร่าง พ...นั้นคืน
                                   สภาผู้แทนราษฎรไป   สภาผู้แทนราษฎรจะยกขึ้นพิจารณาใหม่ต้องล่วงพ้น 180 วันไปแล้ว
                                   และถ้ายังมีมติยืนร่างเดิมด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของสภา
                                   ผู้แทนราษฎรแล้ว ถือว่าร่าง พ...นั้นได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรี
                                   นำขึ้นทูลเกล้าฯ / ประกาศราชกิจจา / ใช้บังคับ
                                - กรณีที่วุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติม ให้ส่งร่าง พ...ที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎร
                                   เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้ทั้งสองสภาตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันประกอบด้วยสมาชิกจากแต่ละ
                                   สภาในจำนวนเท่ากัน เพื่อพิจารณารายละเอียดร่วมกัน  แล้วรายงานและเสนอร่าง พ...ที่
                                   ผ่านการพิจารณาร่วมแล้วต่อสภาทั้งสอง
                                       * ถ้าสภาทั้งสองเห็นชอบด้วย ก็แสดงว่าร่าง พ...นี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว  
   ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ / ประกาศราชกิจจา / ใช้บังคับ
                                       * ถ้าสภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบ ก็ให้ยับยั้งไว้ก่อน  สภาผู้แทนราษฎรจะยกขึ้นพิจารณา
                                          ใหม่ต้องล่วงพ้น 180 วันไปแล้ว  และถ้ายังมีมติยืนร่างเดิมด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่ง
   หนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว   ถือว่าร่าง พ...ที่ผ่านการ
                                          พิจารณาร่วมนั้น ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ /
                                          ประกาศราชกิจจา / ใช้บังคับ
6.    กรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับร่าง พ...และพระราชทานคืน หรือเมื่อพ้น 90 วันแล้วมิได้พระราชทานคืนมา มีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้
- รัฐสภาจะต้องปรึกษาเรื่องร่าง พ... กันใหม่
- ถ้ารัฐสภายังมีมติยืนด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของทั้งสอง
   สภาแล้ว  ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอีกครั้ง
- ถ้าพระมหากษัตริย์ยังไม่ได้พระราชทานลงมา ภายใน 30 วัน ให้นายกรัฐมนตรีนำร่าง พ...ประกาศ
   ในราชกิจจานุเบกษา / ใช้บังคับ
7.    อำนาจหน้าที่ในการอนุมัติพระราชกำหนด มีรายละเอียดดังนี้
                (1)  พระราชกำหนดเป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ตราตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี มี 2 ประเภท
- พระราชกำหนดทั่วๆ ไป                - พระราชกำหนดเกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตรา
                (2)  ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ใช้บังคับเป็นกฎหมาย แต่ต้องขออนุมัติต่อรัฐสภาเพื่อตราเป็น พ...
                (3)  เหตุผลและความจำเป็นในการออกพระราชกำหนดทั่วๆ ไป กรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศหรือสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ และภัยพิบัติสาธารณะ โดยไม่สามารถเรียกประชุมรัฐสภาได้ทันท่วงที หรือเกิดขึ้นในระหว่างยุบสภา  ทั้งนี้ ให้นำเสนอรัฐสภาในการประชุมคราวต่อไป
                (4)  เหตุผลและความจำเป็นในการออกพระราชกำหนดเกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตรา เป็นเรื่องที่ต้องมีการพิจารณาลับและเร่งด่วน เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน แม้ว่าจะอยู่ในระหว่างสมัยประชุมก็ตาม ทั้งนี้ ให้นำเสนอรัฐสภาภายใน 3 วัน นับจากวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เรื่องที่ 5.3.2  :  อำนาจหน้าที่ในการควบคุมฝ่ายบริหาร
1.    การควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล ทำได้ 2 แบบ คือ
                (1)  การตั้งกระทู้ถาม                                                         (2)  การเสนอญัตติเปิดอภิปรายทั่วไป
2.    การตั้งกระทู้ถาม คือ ข้อความที่ตั้งคำถามในสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา ที่สมาชิกคนใดคนหนึ่งตั้งถามรัฐมนตรี ในข้อเท็จจริงหรือนโยบายเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของรัฐมนตรี  ซึ่งกระทู้ถามนั้น มี 2 ประเภท คือ
                (1)  กระทู้ถามที่ให้ตอบในที่ประชุมสภา                      (2)  กระทู้ถามที่ให้ตอบในราชกิจจานุเบกษา
        นอกจากนี้ กระทู้ถามยังมี 2 ลักษณะ คือ   (1)  กระทู้ถามธรรมดา                 (2)  กระทู้ถามด่วน
3.    ข้อจำกัดหรือเงื่อนไขในการตั้งกระทู้ถาม มี 3 ประการ คือ
                (1)  คำถาม ข้อเท็จจริงที่อ้าง ตลอดจนคำชี้แจงประกอบ ต้องไม่ฟุ่มเฟือย วกวน ซ้ำซาก หรือมีลักษณะเป็นทำนองอภิปราย
                (2)  กรณีกระทู้ถามในเรื่องที่ได้ตอบหรือชี้แจงไปแล้ว จะตั้งกระทู้ถามใหม่ได้ ถ้าสาระสำคัญต่างกัน
                (3)  ในการประชุมแต่ละครั้ง สมาชิกสภา 1 คน ตั้งกระทู้ถามได้เพียง 1 กระทู้เท่านั้น
4.    หลักเกณฑ์การบรรจุระเบียบวาระเกี่ยวกับกระทู้ถาม
                - ถ้าเป็นกระทู้ถามธรรมดา ให้บรรจุระเบียบวาระประชุมภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ประธานสภาจัดส่ง
                   กระทู้ไปยังรัฐมนตรีแล้ว
                - ถ้าเป็นกระทู้ถามด่วน  ตอนส่งกระทู้ไปยังรัฐมนตรี ต้องระบุไปด้วยว่าได้บรรจุลงในระเบียบวาระการ
                   ประชุมคราวใด
                - การบรรจุกระทู้ลงในระเบียบวาระการประชุม ต้องเรียงลำดับก่อนหลัง  เว้นแต่รัฐมนตรีจะขอเลื่อน
                - การประชุมแต่ละครั้ง จะบรรจุกระทู้ถามได้ไม่เกิน 5 กระทู้  เว้นแต่กรณีจำเป็นเร่งด่วน
5.    วิธีการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป ไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ
                (1)  .. จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวน ส..ทั้งหมด เข้าชื่อกันเสนอญัตติ
                (2)  ประธานรัฐสภาแจ้งไปยังนายกรัฐมนตรี และบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมเป็นเรื่องด่วน
                (3)  ประชุมเพื่ออภิปรายทั่วไป / รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายชี้แจงข้อเท็จจริง
                (4)  การลงมตินั้นจะกระทำในวันเดียวกับที่มีการอภิปรายไม่ได้
                (5)  คะแนนเสียงในการลงมติไม่ไว้วางใจ ต้องมากกว่ากึ่งหนึ่งถึงจะมีผลให้รัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี
                       พ้นจากตำแหน่ง
เรื่องที่ 5.3.3  :  อำนาจหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบ และอำนาจหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด
1.    อำนาจหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบ และอำนาจหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด ได้แก่
                (1)  การให้ความเห็นชอบที่เกี่ยวกับสถาบันประมุขของประเทศ เช่น
                                - การให้ความเห็นชอบในการตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
                                - การใช้ความเห็นชอบในการสืบสันตติวงศ์
                (2)  การให้ความเห็นชอบต่อสนธิสัญญาที่ทำกับประเทศอื่น
                (3)  การให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม
                (4)  การให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งคณะกรมการชุดต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนด
ตอนที่ 5.4  :  การเลือกตั้ง
เรื่องที่ 5.4.1  :  แนวความคิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง
1.    การเลือกตั้ง เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของระบบการเมืองในการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะ
                (1)  เป็นการตัดสินใจของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
                (2)  เป็นการแสดงออกซึ่งเจตนารมณ์ทั่วไปของประชาชนส่วนใหญ่ต้องการอะไร
2.    ทฤษฎีเกี่ยวกับแนวความคิดในการเลือกตั้ง แบ่งออกเป็น 2 แนวความคิด คือ
                (1)  การเลือกตั้งเป็นเรื่องของสิทธิ กล่าวคือ ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยมีสิทธิในการเลือกตั้ง สิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิเฉพาะตัว ไม่มีผู้ใดเพิกถอนสิทธินี้ได้ ดังนั้น การไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งหรือไม่ จึงเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล
                (2)  การเลือกตั้งตั้งเป็นเรื่องของหน้าที่ กล่าวคือ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนโดยส่วนรวม ซึ่งหมายถึงชาติ ฉะนั้น ผู้ที่มีส่วนร่วมในการใช้อำนาจอธิปไตยจึงต้องมีหน้าที่
3.    ประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่กำหนดเกณฑ์อายุผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง 18 ปีบริบูรณ์แล้ว ประเทศไทยเคยกำหนดไว้ที่ 20 ปีบริบูรณ์  ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น 18 ปีบริบูรณ์
4.    ประเทศทั่วๆ ไปนิยมกำหนดเขตเลือกตั้งเป็นเขตพื้นที่ย่อยๆ เพื่อความสะดวกในการเลือกตั้ง  สำหรับข้อควรคำนึงถึงในการกำหนดเขตเลือกตั้งนั้นมี 3 ประการ ดังนี้
                (1)  คำนึงถึงผู้มีสิทธิออกเสียง โดยแบ่งให้เท่าๆ กัน หรือใกล้เคียงกัน
                (2)  คำนึงถึงเขตพื้นที่ที่กำหนดโดยธรรมชาติ หรือโดยทางภูมิศาสตร์
                (3) ควรมีการทบทวนการแบ่งเขตเลือกตั้งอยู่เสมอ

5.    การกำหนดเขตเลือกตั้ง อาจทำได้ 2 วิธี คือ
                (1) แบบแบ่งเขต หมายถึง การแบ่งเขตพื้นที่ทางการปกครองออกเป็นเขตๆ แต่ละเขตจะมีผู้แทนได้ 1 คน โดยถือเกณฑ์ประชาชน 150,000 – 200,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน ประชาชนในแต่ละเขตมีสิทธิเลือกผู้แทนได้เพียงคนเดียว (One Man One Vote)
                (2) แบบรวมเขต หมายถึง การถือเอาเขตพื้นที่ทางการปกครองเป็นเขตเลือกตั้งเขตหนึ่ง ประชาชนในเขตเลือกตั้งนั้นมีสิทธิเลือกผู้แทนของตนตามจำนวนผู้แทนที่จะมีได้ในเขตนั้น (One Man Several Vote)
6.    สถานภาพของผู้ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรนั้น ในปัจจุบันทุกประเทศถือว่า ผู้ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้แทนของปวงชนทั้งประเทศ
เรื่องที่ 5.4.2  :  วิธีและระบบการเลือกตั้ง
1.    วิธีการเลือกตั้ง แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ
                (1)  การเลือกตั้งโดยตรง (Direct Election) เป็นวิธีการเลือกตั้งที่ให้ประชาชนได้ออกเสียงลงคะแนนผู้สมัครรับเลือกตั้งโดยตรง
                (2)  การเลือกตั้งโดยอ้อม (Indirect Election) เป็นการเลือกตั้งโดยประชาชนผู้ออกเสียงลงคะแนนเสียงเพื่อเลือกคณะบุคคลขึ้นคณะหนึ่ง  แล้วบุคคลคณะนี้จะไปเลือกตั้งผู้แทนราษฎรอีกต่อหนึ่ง
2.    ระบบการเลือกตั้ง แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ
                (1)  การเลือกตั้งแบบคะแนนเสียงข้างมาก (Majority Electoral System) โดยถือว่าผู้ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง ซึ่งระบบนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
                                - ระบบการเลือกตั้งแบบคะแนนเสียงข้างมากรอบเดียว โดยถือว่าผู้ได้คะแนนเสียงสูงสุดเป็น
                                   ผู้ชนะการเลือกตั้ง ระบบนี้ใช้อยู่ในประเทศอังกฤษ และประเทศในเครือจักรภพ
                                -  การเลือกตั้งแบบคะแนนเสียงข้างมากสองรอบ โดยถือว่าผลการเลือกตั้งรอบแรก ถ้าผู้ใดได้
                                   คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของคะแนนเสียงทั้งหมด ผู้นั้นจะได้รับเลือกตั้งเลย แต่หากคะแนน
                                   เสียงรอบแรกไม่มีผู้ได้เกินกึ่งหนึ่ง ก็ต้องมีการลงคะแนนเสียงรอบที่สอง ผู้ใดได้คะแนนเสียง
                                   สูงสุด ผู้นั้นชนะการเลือกตั้ง  ระบบนี้ใช้อยู่ในฝรั่งเศส
                (2)  ระบบการเลือกตั้งแบบมีตัวแทนตามสัดส่วนของคะแนนเสียง ปัจจุบันประเทศต่างๆ ในแถบยุโรปตะวันตกใช้ระบบการเลือกตั้งนี้ ซึ่งการคิดสัดส่วนของคะแนนเสียงระบบนี้มีสูตรและวิธีคิดที่แตกต่างกัน จึงยากที่จะรวบรวมมาเป็นหลักเกณฑ์ได้
3.    ระบบการเลือกตั้งในประเทศญี่ปุ่นนั้น แตกต่างไปจากระบบการเลือกตั้งทั้งสองระบบ กล่าวคือ
- ญี่ปุ่นกำหนดเขตเลือกตั้งให้ผู้แทนราษฎรได้หลายคนในแต่ละเขตเลือกตั้ง
- การออกเสียงเลือกตั้งนั้นผู้ออกเสียงเลือกตั้งจะเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เพียงคนเดียว
                - ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดจะเป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง
4.    มีข้อสังเกตเกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง คือ
                - ระบบการเลือกตั้งแบบคะแนนเสียงข้างมาก เอื้ออำนวยให้เกิดระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรค
                - ระบบการเลือกตั้งแบบมีตัวแทนตามสัดส่วนของคะแนนเสียง เอื้ออำนวยให้เกิดระบบพรรคการเมือง
                   แบบหลายพรรค
เรื่องที่ 5.4.3  :  การเลือกตั้งในประเทศไทย
1.    การเลือกตั้งในอดีตที่ผ่านมาของประเทศไทย
- มีทั้งการเลือกตั้งโดยทางตรงและโดยทางอ้อม
                - การกำหนดเขตเลือกตั้งก็เคยใช้ทั้งวิธีแบบแบ่งเขต แบบรวมเขต และแบบผสม
                - ระบบการเลือกตั้งเป็นแบบเสียงข้างมากรอบเดียว
2.    ประเทศไทยมีการเลือกตั้งรวมทั้งสิ้น 13 ครั้ง (นับถึงเดือนเมษายน 2522) ดังนี้
                - การเลือกตั้งครั้งแรก (ทั่วไป)                         15 พฤศจิกายน 2476          ทางอ้อม / ถือเขตจังหวัด
                - การเลือกตั้งครั้งที่ 2 (ทั่วไป)                          7 พฤศจิกายน 2480            ทางตรง / แบ่งเขต
                - การเลือกตั้งครั้งที่ 3 (ทั่วไป)                          12 พฤศจิกายน 2481          ทางตรง / แบ่งเขต
                - การเลือกตั้งครั้งที่ 4 (ทั่วไป)                          6 มกราคม 2489                  ทางตรง / แบ่งเขต
                - การเลือกตั้งครั้งที่ 5 (การเลือกตั้งเพิ่ม)        5 สิงหาคม 2489                 ทางตรง / แบ่งเขต
                - การเลือกตั้งครั้งที่ 6 (ทั่วไป)                          29 มกราคม 2491                ทางตรง / รวมเขต
                - การเลือกตั้งครั้งที่ 7 (การเลือกตั้งเพิ่ม)        5 มิถุนายน 2492                 ทางตรง / รวมเขต
                - การเลือกตั้งครั้งที่ 8 (ทั่วไป)                          26 กุมภาพันธ์ 2495           ทางตรง / รวมเขต
                - การเลือกตั้งครั้งที่ 9 (ทั่วไป)                          26 กุมภาพันธ์ 2500           ทางตรง / รวมเขต
                - การเลือกตั้งครั้งที่ 10 (ทั่วไป)                        15 ธันวาคม 2500               ทางตรง / รวมเขต
                - การเลือกตั้งครั้งที่ 11 (ทั่วไป)                        10 กุมภาพันธ์ 2512           ทางตรง / รวมเขต
                - การเลือกตั้งครั้งที่ 12 (ทั่วไป)                        26 มกราคม 2418                ทางตรง / แบบผสม
                - การเลือกตั้งครั้งที่ 13 (ทั่วไป)                        22 เมษายน 2522                                ทางตรง / แบบผสม
3.    ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเลือกตั้งในประเทศไทยทั้ง 13 ครั้ง ดังนี้
                (1)  วิธีการเลือกตั้งเกือบทั้งหมดเป็นวิธีการเลือกตั้งโดยทางตรง ยกเว้นครั้งแรกโดยทางอ้อม
                (2)  เป็นการเลือกตั้งทั่วไป 11 ครั้ง และการเลือกตั้งเพิ่ม 2 ครั้ง
                (3)  การกำหนดเขตเลือกตั้ง
                                - แบบแบ่งเขต      ได้แก่  ครั้งที่ 2, 3, 4, 5
                                - แบบรวมเขต      ได้แก่  ครั้งที่ 1, 6, 7, 8, 9, 10, 11
                                - แบบผสม            ได้แก่  ครั้งที่ 12, 13
4.    ปัญหาและอุปสรรคในการเลือกตั้งในประเทศไทย สรุปได้ 3 ประการ คือ
                (1)  ความเข้าใจของประชาชนในสิทธิและหน้าที่ทางการเมือง
                (2)  ความเข้าใจของประชาชนที่มีอยู่ต่อความสำคัญขององค์กรนิติบัญญัติไม่เพียงพอ
                (3)  บทบาทและภาพพจน์ขององค์กรนิติบัญญัติต่อศรัทธาของประชาชน
ตอนที่ 5.5  :  พรรคการเมือง
เรื่องที่ 5.5.1  :  แนวความคิดเกี่ยวกับพรรคการเมือง
1.    พรรคการเมือง คือ กลุ่มบุคคลซึ่งมีความคิดเห็นและผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่คล้ายคลึงกัน และต้องการนำความคิดเห็นทางการเมืองและเศรษฐกิจนั้นไปเป็นหลักในการบริหารประเทศ ด้วยการส่งสมาชิกเข้าสมัครรับเลือกตั้ง โดยมุ่งหวังที่จะจัดตั้งรัฐบาล จัดการบริหารประเทศตามแนวนโยบายที่ได้ประกาศไว้กับประชาชนและสมาชิกพรรค
2.    บทบาทและหน้าที่ของพรรคการเมือง มีดังนี้
                (1)  การปลูกฝังความรู้และสำนึกทางการเมืองแก่ประชาชน
                (2)  การคัดเลือกตัวบุคคลที่เหมาะสมเพื่อสมัครรับเลือกตั้ง
                (3)  การประสานประโยชน์ของกลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มอิทธิพลต่างๆ
                (4)  การนำนโยบายที่ได้แถลงไว้กับปวงชนเข้าไปใช้ในการบริหารประเทศ
3.    ลักษณะของการกำเนิดพรรคการเมือง แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
                (1)  การกำเนิดของพรรคการเมืองในรัฐสภา  เกิดจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รวมตัวกันขึ้นเป็นกลุ่มภายในสภา โดยมุ่งหมายที่จะผนึกกำลังในการต่อรองเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น และการดำเนินนโยบายหรือออกกฎหมายตามอุดมการณ์ของกลุ่ม
                (2)  การกำเนิดพรรคการเมืองนอกรัฐสภา  เกิดจากกลุ่มผลประโยชน์หรือกลุ่มอิทธิพลต่างๆ เช่น สมาคมอาชีพ สหพันธ์กรรมกร องค์กรศาสนา เป็นต้น
4.    Grass Root Support  หมายถึง แรงสนับสนุนพรรคการเมืองจากประชาชน ซึ่งจะทำให้พรรคการเมืองมีฐานะมั่นคงถาวร สามารถดำเนินการทางการเมืองให้สนองเจตนารมณ์ของประชาชนได้อย่างแท้จริง
5.    พรรคการเมืองไทยที่ผ่านมาในอดีต มักถูกมองว่าเป็นพรรคของนักการเมือง”  เนื่องจาก
                (1)  เป็นพรรคที่จัดตั้งโดยนักการเมือง โดยที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนสนับสนุนอย่างจริงใจ
                (2)  การหาสมาชิกพรรคและการสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เป็นเพียงการกระทำให้ครบตามเกณฑ์
                       ที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น
                (3)  พรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมืองมิได้มีความสัมพันธ์อันต่อเนื่องยาวนาน
เรื่องที่ 5.5.2  :  ระบบพรรคการเมือง
1.    ระบบพรรคการเมือง แบ่งออกเป็น 3 ระบบ คือ
                (1)  ระบบพรรคเดียว (Single Party System)              (3)  ระบบหลายพรรค (Multi Party System)
                (2)  ระบบสองพรรค (Two Party System)
2.    ระบบพรรคการเมืองพรรคเดียว มี 2 ลักษณะ คือ
                (1)  ระบบพรรคการเมืองพรรคเดียว  เป็นระบบที่ใช้อยู่ในประเทศที่มีการปกครองแบบสังคมนิยม แบบคอมมิวนิสต์ หรือแบบเผด็จการ
                (2)  ระบบพรรคการเมืองเด่นพรรคเดียว เป็นระบบที่เกิดอยู่ในประเทศอินเดีย  ญี่ปุ่น
3.    ระบบพรรคการเมืองสองพรรค หมายถึง ประเทศที่อาจมีพรรคการเมืองหลายพรรค แต่มีพรรคการเมืองที่สำคัญและมีอิทธิพลเพียงสองพรรคเท่านั้น ที่ผลัดเปลี่ยนกันจัดตั้งรัฐบาล ตัวอย่างประเทศในกลุ่มนี้ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ
4.    การที่ระบบพรรคการเมืองสองพรรค สามารถเอื้ออำนวยให้รัฐบาลมีโอกาสบริหารประเทศจนครบตามวาระ เป็นระบบที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เลือกพรรคการเมือง และเชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยมากกว่าระบบพรรคการเมืองพรรคเดียว
5.    ระบบพรรคการเมืองหลายพรรค หมายถึง ประเทศที่มีพรรคการเมืองจำนวนมากกว่า 3 พรรค โดยแต่ละพรรคการเมืองได้รับความนิยมจากประชาชนจำนวนใกล้เคียงกัน กลุ่มประเทศนี้ ได้แก่ เบลเยี่ยม เยอรมัน ออสเตรเลีย กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย อิตาลี ฝรั่งเศส และไทย รัฐบาลในกลุ่มประเทศเหล่านี้
- มักเป็นรัฐบาลผสม และส่วนใหญ่ขาดเสถียรภาพทางการเมือง
                - มักมีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีกันอยู่เสมอ
เรื่องที่ 5.5.3  :  บทบาทของพรรคการเมืองในรัฐสภา
1.    บทบาทของพรรคการเมืองในรัฐสภา จำแนกออกเป็น 2 ลักษณะ คือ            
                (1)  บทบาทของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล
                                - เลือกสรรบุคคลที่เหมาะสมเข้าไปเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ                                               
                                - ควบคุมการปฏิบัติงานของรัฐมนตรี และบุคคลที่ดำรงตำแหน่งอื่น
                                - คำจุนเสถียรภาพของรัฐบาล
(2)  บทบาทของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน
                                - ควบคุมรัฐบาลในการบริหารประเทศ
                                - มาตรการและวิธีการค้านของฝ่ายค้านในรัฐสภามีหลายรูปแบบ
                                - การค้านนั้นต้องดำเนินการไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนเท่านั้น
เรื่องที่ 5.5.4  :  พรรคการเมืองในประเทศไทย
1.    ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน ประเทศไทยมีกฎหมายพรรคการเมืองหลายฉบับ เช่น
                - พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ..2498  (ฉบับแรก)           ยกเลิกเมื่อปี 2501 โดยคณะปฏิวัติ
                - พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ..2511                                 ยกเลิกเมื่อปี 2514  โดยรัฐประหาร
                - พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ..2517                                 ยกเลิกเมื่อปี 2519 โดยคณะปฏิรูปฯ
                - พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ..2524                                 ยกเลิกเมื่อปี 2534 โดยคณะ ร...
2.    กฎหมายพรรคการเมืองเหล่านี้ ได้ใช้อยู่ช่วงเวลาหนึ่งก็ต้องถูกยกเลิกไปโดยการปฏิวัติรัฐประหาร สลับกับการร่างใช้ใหม่เมื่อมีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย
3.    การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2522 ซึ่งยังมิได้มีการประกาศใช้กฎหมายพรรคการเมือง นักการเมืองในสมัยนั้นต้องต้องรวมตัวกันเป็นกลุ่มการเมืองลงสมัครรับเลือกตั้งแทน

4.    พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ..2524 มีเจตนารมณ์ที่จะให้มีพรรคการเมืองจำนวนน้อยพรรค จึงมีข้อบัญญัติไว้ว่า  หากพรรคการเมืองพรรคใด สมาชิกผู้สมัครรับเลือกตั้งได้รับการเลือกตั้งไม่ถึงจำนวนที่กำหนดจะต้องยุบรวมกับพรรคอื่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น