ระเบียบทางสังคมในปรัชญาตะวันออก
12.1
จะเบียบทางสังคมใน *คัมภีร์ภควัทคีตา
1.
ความเชื่อเรื่องพระเจ้ากับการแบ่งวรรณะทางสังคม
ความเชื่อที่ว่าระบบวรรณะ
มีที่มาจากพระกายแห่งพระพรหมเป็นเหตุผลรองรับการจัดระเบียบทางสังคมโดยการแบ่งคนในสังคมออกเป็นวรรณะทั้งสี่อันได้แก่
1.พราหมณ์ 2.กษัตริย์ 3.ไวศย (แพศย์) 4.ศูทร ทั้งนี้
โดยกำหนดให้คนในแต่ละวรรณะปฎิบัติตามหน้าที่ที่ถูกกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
ในคัมภีร์ควัทคีตามีการเชื่อมโยงระบบวรรณะกับความจริงสูงสุดแห่งพระพรหม
โดยถือว่าคนในแต่ละวรรณเป็นส่วนต่างๆของพระกายของพระเจ้า
2. แนวความคิดเรื่องกษัตริย์นักรบ
ในคัมภีร์ภควัทคีตามีข้อแสดงซึ่งชี้ให้เห็นว่าการทำตามหน้าที่
“นักรบ” ของคนในวรรณะกษัตริย์
ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด เหตุว่า “กษัตริย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นผู้ปกป้องระบบวรรณะและระเบียบของสังคม
และมีหน้าที่ทำให้บุคคลในแต่ละวรรณะปฎิบัติตามหน้าที่ของตน” ประเด็นสำคัญคือความเป็นไปได้ของกษัตริย์ที่จะทำให้บุคคลในแต่ละวรรณะปฎิบัติตามหน้าที่ของตนนั้นขึ้นอยู่กับการปฎิบัติตามหน้าที่ของกษัตริย์ด้วย
แนวความคิดเกี่ยวกับกษัตริย์นักรบนี้ได้ปรากฏมานานแล้วในประวัติศาสตร์ความคิดของอินเดียในวรรณกรรม
ยุคพระเวทก็ได้มีการกล่าวถึง
ที่มาของความเป็นกษัตริย์ไว้โดยมีเรื่องเล่าว่าตั้งแต่โบราณกาลมาได้เกิดสงครามระหว่าง
เหล่าเทวดาและปีศาจ โดยที่พวก
ปีศาจมีชัยเหนือพวกเทวดาอยู่เสมอพวกเทวดาจึงได้ประชุมปรึกษาหารือกันเพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว
ที่ประชุมได้ตกลงกันว่าสาเหตุของความพ่ายแพ้อยู่ที่การขาดผู้นำที่เป็นกษัตริย์จึงได้ตกลงกันแต่งตั้ง
โสมะ (soma) เป็นกษัตริย์
ต่อมาเมื่อมีสงครามกับพวกปีศาจปรากฏว่าพวกเทวดาชนะพวกปีศาจ
เป็นที่น่าสังเกตว่าในสมัยอินเดียโบราณมีความเชื่อว่าการเป็นกษัตริย์นั้นเกิดจากความจำเป็นทางทหารและกษัตริย์ต้องเป็นผู้นำกองทัพ
ซึ่งมีอำนาจอันเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปกล่าวโดยสรุปคือ ความเป็นกษัตริย์นั้นแยกไม่ออกจากความเป็นนักรบ
3. ความขัดแย้งทางมนุษยธรรมกับการทำตามหน้าที่
พระกฤษณะแนะนำให้พระอรชุนออกรบ แม้เมื่อการสงครามนั้นหมายถึงการฆ่าญาติพี่น้องของตนเอง
ทั้งนี้โดยให้เหตุผลว่า “ที่จริงแล้ว” พระอรชุน “ไม่ได้ฆ่าใคร” และด้วยข้ออธิบายทางปรัชญา และการนิยาม “การกระทำ” ในฐานะที่เป็น “นิษกามกรรม”
4. ปัญหาทางจริยธรรมในคัมภีร์ภควัทคีตา
ปรัชญาสังคมในคัมภีร์ภควัทคีตานี้เสนอให้
ปัจเจกบุคคลโดยเฉพาะอย่างยิ่งกษัตริย์ทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัดถึงแม้เมื่อการทำหน้าที่นั้นหมายถึงการฆ่าญาติพี่น้องของตนเอง
ทั้งนี้เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดในสังคมมนุษย์คือการรักษาไว้ซึ่งระเบียบวรรณะทางสังคมดังกล่าว
หากข้อสรุปดังกล่าวคือแกนหลักแห่งประเด็นทางจริยธรรมของคัมภีร์นี้คำถามที่น่าจะเกิดขึ้นคือระเบียบทางสังคมตามระบบวรรณะนั้นเอง
มีคุณค่าเชิงจริยธรรมหรือไม่เพียงใดการแบ่งงานแบ่งหน้าที่กันทำโดยถือกำหนดเป็นหลักนั้นเป็นการนำเสนอมาตรวัดทางจริยธรรมที่ควรแล้วแห่งคุณค่าทางจริยธรรมหรือ
1. จากสวรรค์สู่มนุษย์
*ขงจื้อ เป็นนักคิดที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งของประวัติศาสตร์ปรัชญาจีน เป็นผู้เสนอให้พิจารณาปัญหาของมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
โดยมิได้ให้ความสำคัญแก่ปัญหาเรื่องพระเจ้าเหนือธรรมชาติ
หรือโลกแห่งจิตวิญญาณต่าง ๆ แนวคิดพื้นฐานของขงจื้อ เริ่มจากการปฎิเสธอำนาจเด็ดขาดของสวรรค์และการไม่ยอมรับว่าภูตผีวิญญาณต่าง
ๆ มีอำนาจอันทรงพลังสิทธิ์ขาดในการควบคุมชะตากรรมของมนุษย์
ขงจื้อเสนอให้มนุษย์พัฒนาตนเองตามกรอบแห่งจริยธรรมซึ่งขงจื้อพยายามกำหนดบทบาทให้อย่างชัดเจนสำหรับมนุษย์ในแต่ละหน้าที่
โดยมีความเชื่อมั่นว่า
มนุษย์จะสามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดโดยตนเองได้ขงจื้อกล่าวไว้อย่างแจ่มชัดว่า “มนุษย์สามารถทำให้มรรควิธี (tao)
นั้นยิ่งใหญ่แต่มรรควิธีไม่สามารถทำให้มนุษย์ยิ่งใหญ่”ขงจื้อให้ความสำคัญแก่มนุษย์มาก
จนอาจกล่าวได้ว่าในทรรศนะของขงจื้อมนุษย์คือคำตอบสำหรับมนุษย์เอง มนุษย์ไม่อาจพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ช่วยแก้ปัญหาของตนเองได้
แต่มนุษย์ต้องแก้ปัญหาของตนเองโดยการพัฒนาจริยธรรมให้สูงส่ง
ใน รวมบทสนทนาขงจื้อ (the
Analects) ขงจื้อเสนอให้มีการแบ่งความสัมพันธ์ของคนในสังคม ออกเป็น 5
รูปแบบคือ
1.
ระหว่างผู้ปกครอง - ผู้ถูกปกครอง
2. บิดา – บุตร
3. พี่ – น้อง
4. สามี –
ภรรยา
5. เพื่อน -
เพื่อน
หรือที่เรียกกันว่า
“ความสัมพันธ์ทั้งห้า” เป็นแม่แบบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
และเป็นแม่แบบหลักของการจัดระเบียบทางสังคมภายในระบบความสัมพันธ์นี้ขงจื้อกำหนด บทบาทหน้าที่ของแต่ละฝ่าย
อย่างค่อนข้างชัดเจนว่าควรปฎิบัติต่อกันอย่างไรสำหรับขงจื้อนั้นระเบียบทางสังคมหรือระบบความ สัมพันธ์ทั้ง 5 นี้
คือตาข่ายครอบคลุมภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์ทั้งหมดซึ่งหมายความด้วยว่าความหมายของมนุษย์ถูกกำหนด โดยและผูกพันอยู่กับวิธีสัมพันธ์ในแต่ละความสัมพันธ์นั่นเอง
3. ภาษากับระเบียบทางสังคม
3. ภาษากับระเบียบทางสังคม
ขงจื้อให้ความสำคัญต่อภาษา
ในการมีส่วนช่วยค้ำจุนจรรโลงระเบียบทางสังคมให้ดำเนินต่อไปได้
ในเชิงปฏิบัติขงจื้อเสนอให้เอาใจใส่ต่อการ “ขัดเกลาแก้ไขภาษา
(หรือชื่อ) ให้ถูกต้อง” ขงจื้อให้ความสำคัญแก่ภาษามิใช่ในฐานะเครื่องมือสื่อสารระหว่างมนุษย์เท่านั้น
แต่ดูเหมือนว่า สำหรับขงจื้อนั้นภาษามีส่วนสัมพันธ์ใกล้ชิดกับระเบียบทางสังคม
สำหรับขงจื้อนั้นภาษาเป็นตัวกำหนดการกระทำของมนุษย์
การใช้ภาษาของชุมชนเป็นการรับกฎเกณฑ์ทางสังคมของชุมชนนั้นมาปฎิบัติจนกลายเป็นจิตสำนึกส่วนบุคคลไปได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือภาษาเป็นโครงสร้างที่กำหนดภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์ในสังคม ในลักษณะเดียวกันที่ระบบความสัมพันธ์ทั้งห้าคือเครือข่าย
ซึ่งกำหนดภาวะการดำรงอยู่ของชุมชนจีน
ขงจื้อ
เน้นความชอบธรรม
โดยการมีจริยธรรมของผู้ปกครองและเชื่อในพลังดังกล่าวในรักษาระเบียบของสังคมขงจื้อเชื่อว่า
มนุษย์ส่วนใหญ่เป็นผู้ตามซึ่งมักโอนอ่อนตามผู้นำ
ดังนั้นผู้นำที่ไร้จริยธรรมอาจมีโทษมหันต์แก่สังคมได้ความพยายามของขงจื้อที่จะแก้ไขสังคม
มีจุดสำคัญอยู่ที่การสร้างระบบอันจะทำให้ระเบียบทางสังคมดำเนินไปได้นับว่ามีลักษณะสากลอยู่ขงจื้อแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
มนุษย์นั้นมิอาจแยกออกจากการฝึกตน
จริยธรรมนั้นไม่อาจแยกจากการเมืองผู้นำไม่อาจแยกจากผู้ตามภาษาไม่อาจแยกจากความจริงทางสังคม
และแสวงหาคำตอบทางสังคมการเมือง มิอาจแยกจากการแสวงหาความชอบธรรมได้
1. ธรรมชาติกับการสร้างระเบียบทางสังคม
ปรัชญาเต๋าถือว่าธรรมชาติไม่ได้มีการตัดสินคุณค่าทางจริยะ
ดังนั้นการสร้างระเบียบทางสังคมบนพื้นฐานการแยกแยะเชิงจริยะจึงมิอาจเป็นคำตอบที่ถาวรได้
หากแต่มนุษย์ต้องเข้าใจกฎแห่งเต๋าหรือธรรมชาติเสียก่อน *เหลาจื้อ นักคิดคนสำคัญของปรัชญาเต๋าเป็นผู้ที่สนใจปัญหาสังคมบ้านเมืองเช่นเดียวกับขงจื้อ
แต่ข้อเสนอของเหลาจื้อนั้นตั้งอยู่บนความเห็นที่ว่าระเบียบสังคมมนุษย์จะดำรงอยู่และดำเนินไปได้ด้วยดี
ก็ต่อเมื่อผู้ปกครองเข้าใจวิถีแห่งเต๋าหรือสภาพธรรมชาติโดยไม่นิยมแบ่งกลุ่มคนในสังคมออกเป็นส่วนต่าง
ๆ ที่ขัดกับสภาพธรรมชาติ
เหลาจื้อไม่เห็นด้วยกับการสร้างระบบจริยวัฒนธรรมโดยมุ่งจะกำหนดบุคคลในสังคมให้ปฎิบัติตามตำแหน่งหน้าที่ของตน
ซึ่งเป็นคำตอบสำหรับระเบียบทางสังคมตามแนวทรรศนะของขงจื้อเหลาจื้อ
เสนอให้ดำเนินตามกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ คือ “การกระทำโดยไม่กระทำ”
(หวูเว่ย wu-wei non-action) เหลาจื้อเชื่อว่ากฎเกณฑ์ดังกล่าวครอบคลุมวิถีดำเนินแห่งสากลจักรวาล มนุษย์และสังคมมนุษย์ย่อมเป็นส่วนหนึ่งแห่งระบบธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นั้น
การที่มนุษย์ “ฝืน” ธรรมชาติโดยการสร้างระบบจริยธรรม หรือระเบียบแห่งสังคม อันไม่เป็นไปตามธรรมชาติ
มีแต่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่มนุษย์เองอาจกล่าวได้ว่าเหลาจื้อ
เสนอให้มนุษย์แสวงหา “ระเบียบ” ในธรรมชาติเพื่อถือเป็นหลักในการดำเนินสังคมมนุษย์แทนที่การสร้างระบบวัฒนธรรมอันมิได้มีรากฐานอยู่บนกฎเกณฑ์แห่ง
“หวูเว่ย”
ซึ่งเหลาจื้อถือว่ามีอยู่ในธรรมชาติ
2. การกระทำโดยไม่กระทำ
โฮล์มส์ เวลซ์
ได้ให้ข้ออธิบายที่น่าสนใจเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องหวู – เว่ย
หรือ “การกระทำโดยไม่กระทำ”หรือ
“การกระทำที่ไม่กระทำ” ว่า “การกระทำทุกอันย่อมก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อการกระทำนั้น” การท้าทายทุกอันย่อมก่อให้เกิดการตอบโต้มนุษย์และสังคมมนุษย์มีแนวโน้มที่จะตอบโต้การท้าทายต่างๆ
สูงมาก ดังนั้นไม่ว่าผู้ปกครองหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ตาม
เมื่อถูกกระทำในลักษณะหนึ่งมักจะตอบสนองไปในทิศทางตรงข้ามหรือถ้าผู้ปกครองหรือประชาชนนั่นเอง
- พยายาม “กระทำ”
สิ่งหนึ่งต่อบุคคลอื่นผลที่เกิดขึ้น
มักจะเป็นไปในทางตรงข้ามกับที่คาดหมายไว้ในส่วนที่เกี่ยวกับวิธีการปกครองของผู้ปกครอง
เหลาจื้อตั้งข้อสังเกตว่าข้อห้ามยิ่งมากประชาราษฎร์ยิ่งอดอยากยากจน
อาวุธในราชสำนักยิ่งแหลมคม ประเทศยิ่งวุ่นวายสับสน วิทยาการในหมู่ช่างยิ่งสูงส่ง
ผลผลิตยิ่งเลวร้าย กฎหมายและระเบียบยิ่งมีมาก โจรผู้ร้ายยิ่งชุกชุมในสมัยที่ราชวงศ์โจวพบกับความเสื่อม
เจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ พากันรบพุ่งแย่งชิงอำนาจกัน
ผู้ที่เดือดร้อนเสียหายที่สุดก็คือพวกชาวบ้าน ประชาราษฎร์ทั่วไปนั่นเอง
ดูเหมือนว่าเหลาจื้อพิจารณาสถานการณ์ดังกล่าวแล้วเห็นว่ารากฐานแห่งปัญหานั้นอยู่ที่
“การกระทำ” ของผู้นำรัฐ
การออกกฎหมายยิ่งมาก
ประชาชนยิ่งมีความแต่ความเดือดร้อนการพัฒนาวิทยาการและสร้างอาวุธให้มีประสิทธิภาพสูงส่ง
ก็ยิ่งมีแต่จะเสริมสร้างความวุ่นวายสับสนหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “การนำ” โดย “การกระทำ”
ของผู้นำนั้นเอง เป็นที่มาแห่งปัญหาทั้งมวลตามทรรศนะของเหลาจื้อ
การไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับประชาชนดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า “การนำโดยการกระทำ” ของผู้ปกครองตามลักษณะที่เป็นอยู่หากผู้นำไม่
“กระทำ” แต่สนับสนุนประชาชน
ดังน้ำซึ่งส่งเสริมค้ำจุนสรรพสิ่งปัญหาความสับสนวุ่นวายในสังคมอาจลดน้อยถอยลงไปได้
โดยสรุปแล้ว ความเข้าใจ เกี่ยวกับการ “ทำ” โดยไม่กระทำนั้นเริ่มต้นจากข้อสังเกตและบทสรุปเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องเต๋า
ด้วยทรรศนะที่ว่า เต๋านั้นค้ำจุนสรรพสิ่งโดยไม่เข้า “ครอบครอง” *การกระทำโดยไม่กระทำ
มีความหมายสำคัญที่สุด
เมื่อใช้เป็นหลักพิจารณาเกี่ยวกับปัญหาของผู้ปกครองโดยที่เหลาจื้อเสนอให้ผู้ปกครอง
“หยุด”
การกระทำต่างๆอันเป็นสาเหตุที่มาแห่งความสับสนวุ่นวายในความพยายามที่จะสร้างระบบวัฒนธรรมเพื่อระเบียบทางสังคม
“การไม่กระทำ”
ของผู้ปกครองนี้ไม่เพียงแต่หมายถึงการไม่ออกกฎหมายพร่ำเพรื่อ
หรือการขูดรีดประชาชนเท่านั้นหากแต่รวมไปถึงการไม่สนับสนุนให้ประชาชนมีความรู้
มีความต้องการมาก
3. รัฐในอุดมคติ
ในรัฐเล็กที่มีพลเมืองน้อย แม้เมื่อมียุทโธปกรณ์ก็ไม่มีโอกาสจะใช้ (ผู้ปกครอง) ควรทำให้ประชาราษฎร์เห็นว่าการตาย (ในรัฐของตน) เป็นสิ่งสำคัญ
จึงทำให้ประชาราษฎร์ไม่อยากย้ายถิ่นไปไกล
แม้เมื่อมีเรือและรถม้าศึกก็ไม่มีโอกาสจะใช้ แม้เมื่อมีเสื้อเกราะและอาวุธ ก็ไม่มีเหตุผลจะโอ้อวดใช้
(ผู้ปกครอง) ควรให้ประชาราษฎร์กลับไปใช้การจดจำเรื่องราว
ด้วยการผูกเงื่อนแทนการเขียนหนังสือ ให้เขานึกว่าอาหารพื้นๆ นั้นโอชะ เสื้อผ้าอันสามัญนั้นสวยงาม
บ้านเรือนธรรมดานั้นสุขสบาย ประเพณีวิถีชีวิตนั้นน่าชื่นชม”
*รัฐในอุดมคิตคือ
“รัฐที่มีพลเมืองน้อย” ในยุคสมัยของเหลาจื้อเป็นยุคแห่งการสู้รบแย่งชิงดินแดนและอำนาจระหว่างนครรัฐ
เหลาจื้อเสนอให้ผู้ปกครอง “หยุด” “ต้องการ”
ดินแดนและหยุดศึกสงครามดังกล่าวเสีย
เหตุว่ารัฐในอุดมคติมิใช่รัฐอันใหญ่โต หากแต่เป็นรัฐเล็กที่มีพลเมืองน้อยภายในรัฐดังกล่าวนี้มียุทโธปกรณ์
เรือ รถม้าศึก เกราะ และอาวุธ แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่มีโอกาสใช้เหลาจื้อ
เสนอว่าให้มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในรัฐเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการป้องกันตนเองได้เพื่อให้เป็นที่กลัวเกรงแก่รัฐเพื่อนบ้านในกรณีที่รัฐเพื่อนบ้านอาจมีจุดประสงค์อันไม่พึงปราถนา
แต่แน่นอนที่สุดการไม่ต้องใช้สิ่งเหล่านี้ ย่อมเป็นสภาพซึ่งน่าพึงปรารถนากว่า
เหลาจื้อมิได้จำกัดเฉพาะสิ่งของจำพวกอาวุธยุทโธปกรณ์เท่านั้นหากแต่รวมไปถึงการใช้การผูกเงื่อนในการบันทึกเรื่องราวแทน การใช้หนังสือการมีเสื้อผ้าที่อยู่อาศัยและวิถีชีวิตอันธรรมดาสามัญ
เหลาจื้อเห็นว่าภายใต้เงื่อนไขปัจจัยอันเรียบง่ายดังกล่าวนี้
ระเบียบทางสังคมจะดำรงอยู่และดำเนินไปได้โดยตัวของมันเองภายในสังคมเล็กที่มีพลเมืองน้อยนี้รัฐจะทำหน้าที่เหมือนรัฐ
จะทำหน้าที่เหมือน”เรือนต้นไม้”ซึ่งเปรียบได้กับการทำหน้าที่เป็น
“บรรยากาศ” และ “เครื่องช่วยสนับสนุน”
ให้ต้นไม้เจริญเติบโตตามคุณภาพและคุณลักษณะและแบบอย่างต่างๆ
กันของต้นไม้ รัฐบาลไม่น่าจะทำหน้าที่เป็น “เครือข่าย”
ซึ่งกำหนดและนิยามภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์ในสังคม
ระเบียบทางสังคมไม่อาจเกิดขึ้นจากการกำหนดบังคับใช้จากเบื้องบนหากแต่จะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้นำรัฐนั้น “ปกครองโดยไม่ปกครอง”
4. บทสรุปทั่วไป
การศึกษาปัญหาระเบียบทางสังคมในปรัชญาตะวันออกทั้งของอินเดียและจีน
ล้วนเป็นเครื่องชี้แนะให้ความกระจ่างแก่ลักษณะสังคมไทยได้ในแง่มุมที่น่าสนใจยิ่ง
นอกจากนี้การศึกษาค้นคว้าดังกล่าวยังตอกย้ำให้เห็นว่าการเข้าใจสังคม “ปัจจุบัน” ไม่ว่า
สังคมใดก็ตามสิ่งหนึ่งซึ่งขาดเสียมิได้คือความเข้าใจเกี่ยวกับ “วิธี”
การจัดระเบียบในสังคมเก่าซึ่งได้ดำเนินมาเป็นระยะเวลานานว่ามีลักษณะอย่างไร
เหตุว่ามรดกทางวัฒนธรรมดังกล่าวอาจยังฝังรากลึกในจิตใจความเข้าใจของคนในสังคมซึ่งอาจเป็นเครื่อง
ขัดขวางการพัฒนาทางการเมืองและสังคมได้
*คัมภีร์ภควัทคีตา
คัมภีร์ภควัทคีตาของอินเดียเสนอให้มีการจัดระเบียบทางสังคมโดยแบ่งคนในสังคมออกเป็นวรรณะทั้งสี่อันได้แก่
พราหมณ์ กษัตริย์ ไวศย ศูทร ทั้งนี้โดยกำหนดให้คนในแต่วรรณะปฏิบัติตามหน้าที่ที่ถูกกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
ในคัมภีร์ภควัทคีตา
มีการเชื่อมโยงระบบวรรณะกับความจริงสูงสุดแห่งพระพรหมโดยถือว่าคนในแต่ละวรรณะ
เป็นส่วนต่างๆ ของพระกายของพระเจ้า
*นิษกามกรรม คือ
การทำตามหน้าที่ตามระบบวรรณะ เป็นการ “สละในการทำงาน” มิใช่ “การไม่ทำอะไรเลย” การทำตามหน้าที่เป็นการกระทำที่มิได้เกิดจากเหตุจูงใจส่วนตน
แต่มาจากความต้องการที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ซึ่งปรากฎในรูปพระกฤษณะ
*ขงจื้อ เป็นนักคิดที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งของประวัติศาสตร์ปรัชญาจีน
เป็นผู้เสนอให้พิจารณาปัญหาของมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก โดยมิได้ให้ความสำคัญแก่ปัญหาเรื่องพระเจ้าเหนือธรรมชาติ
หรือโลกแห่งจิตวิญญาณต่างๆ
*ความสัมพันธ์ทั้งห้า
ขงจื้อเสนอให้มีการแบ่งความสัมพันธ์ของคนในสังคม ออกเป็น 5
รูปแบบคือ ระหว่างผู้ปกครอง-ผู้ถูกปกครอง บิดา – บุตร พี่ – น้อง สามี – ภรรยา
เพื่อน-เพื่อน เป็นแม่แบบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเป็นแม่แบบหลักของการจัดระเบียบทางสังคม
*การแก้ไขภาษาให้ถูกต้อง
ในฐานะเป็นตัวกำหนด ตำแหน่งหน้าที่และนิยามบทบาทของคนในแต่ละความสัมพันธ์
ย่อมเป็นเครื่องกำหนดและแก้ไขปัญหาระเบียบทางสังคมด้วย
นอกจากนี้การเลือกใช้คำสำหรับผู้ปกครอง ย่อมเป็นเครื่องวัดหรือตำหนิติเตียนผู้ปกครองอันไร้ความชอบธรรมได้
*พลังจริยธรรมของผู้ปกครอง
ขงจื้อ เน้นความชอบธรรม
โดยการมีจริยธรรมของผู้ปกครองและเชื่อในพลังดังกล่าวในการรักษาระเบียบของสังคม
ขงจื้อเชื่อว่า มนุษย์ส่วนใหญ่เป็นผู้ตามซึ่งมักโอนอ่อนตามผู้นำ ดังนั้นผู้นำที่ไร้จริยธรรมอาจมีโทษมหันต์แก่สังคมได้
*เหลาจื้อ
นักคิดคนสำคัญของปรัชญาเต๋า เป็นผู้ที่สนใจปัญหาสังคมบ้านเมืองเช่นเดียวกับขงจื้อ
แต่ข้อเสนอของเหลาจื้อนั้นตั้งอยู่บนความเห็นที่ว่า
ระเบียบสังคมมนุษย์จะดำรงอยู่และดำเนินไปได้ด้วยดีก็ต่อเมื่อผู้ปกครองเข้าใจวิถีแห่งเต๋าหรือสภาพธรรมชาติ
โดยไม่นิยมแบ่งกลุ่มคนในสังคมออกเป็นส่วนต่างๆที่ขัดกับสภาพธรรมชาติ
*การกระทำโดยไม่กระทำ
เหลาจื้อเสนอให้ผู้ปกครอง “หยุด”การกระทำต่างๆอันเป็นสาเหตุที่มาแห่งความสับสนวุ่นวายในความพยายามที่จะสร้างระบบวัฒนธรรมเพื่อระเบียบทางสังคม
“การไม่กระทำ”ของผู้ปกครองนี้ไม่เพียงแต่หมายถึงการไม่ออกกฎหมายพร่ำเพรื่อ
หรือการขูดรีดประชาชนเท่านั้น หากแต่รวมไปถึงการไม่สนับสนุนให้ประชาชนมีความรู้
มีความต้องการมาก
*รัฐในอุดมคติคือ "รัฐที่มีพลเมืองน้อย" ในยุคสมัยของเหลาจื้อเป็นยุคแห่งการสู้รบแย่งชิงดินแดนและอำนาจระหว่างนครรัฐ
เหลาจื้อ เสนอให้ผู้ปกครอง “หยุด” “ต้องการ” ดินแดนและหยุดศึกสงครามดังกล่าวเสีย
เหตุว่ารัฐในอุดมคติมิใช่รัฐอันใหญ่โตหากแต่เป็นรัฐเล็กที่มีพลเมืองน้อยภายในรัฐดังกล่าวนี้มียุทโธปกรณ์
เรือ รถม้าศึก เกราะ และอาวุธ แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่มีโอกาสใช้ เหลาจื้อ
เสนอว่าให้มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในรัฐเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการป้องกันตนเองได้เพื่อให้เป็นที่กลัวเกรงแก่รัฐเพื่อนบ้านในกรณีที่รัฐเพื่อนบ้านอาจมีจุดประสงค์อันไม่พึงปราถนา
แต่แน่นอนที่สุดการไม่ต้องใช้สิ่งเหล่านี้ ย่อมเป็นสภาพซึ่งน่าพึงปรารถนากว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น