ความคิดทางการเมืองไทย
15.1
ความคิดทางการเมืองแบบธรรมราชา
ธรรมราชา หมายถึง
ผู้นำที่ใช้ธรรมะในการปกครองประชาชน
โดยผู้นำดังกล่าวทรงไว้ซึ่งความรู้ในธรรมะของพุทธศาสนาเป็นอย่างดีหรือกษัตริย์ที่ใช้ธรรมะในการปกครองประชาชน
ความคิดทางการเมืองแบบธรรมราชาของพระมหาธรรมราชาลิไท
มีลักษณะสำคัญ กล่าวคือ
การเน้นให้เห็นถึงลักษณะของพระมหากษัตริย์ที่เป็นธรรมราชานั้น
จะต้องยึดมั่นในทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร
และพระราชจรรยานุวัตรตามหลักพระพุทธศาสนา นอกจากนี้ยังต้องมีหลักปฏิบัติในการกครอง
รวมทั้งประเพณีการปกครองและความยุติธรรมทางการเมืองสำหรับธรรมราชาควบคู่ไปด้วย
พระมหากษัตริย์ที่เป็นธรรมราชาจะต้องเป็นผู้นำประชาชนให้ก้าวพ้นวัฏฏสังสารของโลกนี้
ให้ได้ความคิดทางการเมืองแบบธรรมราชาของพระมหาธรรมราชาลิไทนับเป็นการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้กับพระองค์ในอีกทางหนึ่ง
3. การสืบทอดและพัฒนาการความคิดทางการเมืองแบบธรรมราชาในยุคหลัง
ภายหลังสิ้นรัชสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทแล้ว ได้มีการสืบทอดแนวความคิดทางการเมืองแบบธรรมราชามาโดยตลอดจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
แต่มีข้อน่าสังเกตก็คือ
ความคิดแบบธรรมราชาจะเป็นเอกลักษณ์สำคัญของความคิดทางการเมืองแบบสุโขทัยก็ได้
แต่ในสมัยอยุธยาได้มีการนำแนวความคิดทางการเมืองแบบเทวราชามาใช้
จึงทำให้ความคิดทางการเมืองแบบธรรมราชาด้อยความสำคัญลงไปเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยสุโขทัย
แต่ภายหลังได้มีการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี
ความคิดทางการเมืองแบบธรรมราชาได้รับการเน้นหนักให้มีความสำคัญขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเป็นต้นไป
ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์
คติธรรมราชาได้เน้นให้เห็นถึงความเป็นพระโพธิสัตว์หรือควาเมป็นพุทธราชาของพระมหากษัตริย์ชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเพื่อเสริมสร้างสิทธิธรรมและความชอบธรรมทางการเมืองให้กับพระราชวงศืจักรีก็เป็นได้
4. ความสำเร็จและความล้มเหลวของความคิดทางการเมืองแบบธรรมราชา
ความคิดแบบธรรมราชามีมาต่อเนื่องนับตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี
และรัตนโกสินทร์
เพราะนับเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงและช่วยปกป้องพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ในบางกรณี
แต่ไม่เสมอไปเพราะคติธรรมราชาเป็นเพียงปัจจัยส่วนหนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างพระราชอำนาจและความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้นการเสริมสร้างความมั่นคงดังกล่าวอาจต้องอาศัยความเข้มแข็งในการทำสงครามรบพุ่งกับศัตรูความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน
ตลอดจนความเหมาะสมของพระชนมายุของพระมหากษัตริย์อีกด้วย ถ้าอาศัยความเป็นธรรมราชาเพียงอย่างเดียวถ้าอาณาจักรใกล้เคียงไม่ยึดมั่นในธรรมเช่นเดียวกันแล้ว
อาจยกกองทัพมารุกรานพระมหากษัตริย์ก็อาจสิ้นพระราชอำนาจได้แต่ถ้ากล่าวในแง่ของความสัมพันธ์กับประชาชน ย่อมบังเกิดผลสำเร็จได้มากพอสมควร
15.2
ความคิดทางการเมืองแบบเทวราชา
เทวราชา หมายถึง
กษัตริย์ที่เป็นพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นความคิดทางการเมืองแบบเทวราชาจึงเป็นความคิดทางการเมืองที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์จะต้องทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้า
เป็นผู้มีพระราชอำนาจสูงสุด มีความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
พระผู้เป็นเจ้าดังกล่าว ได้แก่
พระศิวะหรือพระวิษณุก็ได้ตามคติความเชื่อในศาสนาพราหมณ์
ความคิดทางการเมืองแบบเทวราชาของไทย แต่เดิมมีรากเหง้าอยู่ในอินเดีย
ต่อมาเมื่ออินเดียติดต่อกับเอเชียอาคเนย์ความคิดทางการเมืองแบบเทวราชาก็แพร่ขยายเข้ามาในชวา
และอาณาจักรโบราณต่าง ๆ ในแหลมอินโดจีน ไทยอาจรับมาจากเขมรโดยตรงก็ได้
หรืออาจจะรับจากวัฒนธรรมของพื้นบ้านเดิมในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาโดยตรงก็ได้
2. สาเหตุที่ทำให้ไทยรับเอาความคิดทางการเมืองแบบเทวราชามาใช้ในราชสำนักอยุธยา
การที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่หนึ่ง หรือ
พระเจ้าอู่ทองแห่งราชอาณาจักรอยุธยาทรงรับเอาความคิดทางการเมืองแบบเทวราชามาใช้อาจสืบเนื่องมาจากเหตุผลสามประการ
ประการแรกเจตนารมณ์ทางการเมืองของพระเจ้าอู่ทองในการประกาศตนเป็นอิสระ
ไม่ยอมรับอำนาจและอิทธิพลสุโขทัยซึ่งมีการปกครองแบบธรรมราชาเป็นเอกลักษณ์สำคัญ
ประการที่สองการได้รับอิทธิพลจาก
ศาสนาพราหมณ์ซึ่งมีอยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเขมรมาก่อนและประการที่สามอาจได้รับอิทธิพลจากราชสำนักเขมรโดยตรงก็อาจเป็นได้
ความคิดทางการเมืองแบบเทวราชาของไทยตั้งอยู่บนรากฐานของความเชื่อที่ว่า
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าตามหลักศาสนาพราหมณ์
ดังนั้นจึงต้องมีกฎเกณฑ์และข้อปฏิบัติต่อพระมหากษัตริย์เป็นกรณีพิเศษแตกต่างไปจากคนธรรมดาสามัญทั่วไป
ทั้งนี้เพื่อแสดงถึงพระราชอำนาจอันสูงสุดและศักดิ์สิทธิ์ที่ผุ้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์แต่อย่างไรก็ตาม
เทวราชาของไทยก็มิได้เป็นพระผู้เป็นเจ้าที่เคร่งครัดเหมือนกับเทวราชาของเขมรแต่ขณะเดียวกันก็มิได้เป็นคนธรรมดาสามัญ แบบพ่อขุนของสุโขทัย ทั้งนี้เพราะคนไทยยึดถือครอบครัวเป็นหลักในการดำรงชีวิตการที่คนไทยถือครอบครัวเป็นใหญ่จึงทำให้
คนไทยเห็นพระมหากษัตริย์เสมือนหนึ่งเป็นผู้นำครอบครัวอยู่นั่นเองถึงแม้จะมีฐานะประดุจดังเทพเจ้าก็ตาม
นอกจากนี้อาจเป็นเพราะพระมหากษัตริย์ทรงนับถือพระรัตนตรัยเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป
ความรู้สึกร่วมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจึงเกิดขึ้น
4. ความสำเร็จและความล้มเหลวของแนวความคิดแบบเทวราชา
ความคิดทางการเมืองแบบเทวราชาที่ถูกนำมาใช้ในอุดมการณ์ทางการเมืองของผู้นำไทย
นับตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์นั้น
มิได้ประสบผลสำเร็จในการเสริมสร้างความมั่นคงและการรักษาพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เสมอไปทั้งนี้
เพราะเหตุว่าในทางทฤษฎีถึงแม้ว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าก็ตาม
แต่ในทางปฏิบัติจะต้องมีพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่าทรงมีพราชอำนาจจริง ๆ
มีความศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้จริง ๆเช่นทรงมีฝีมือในการรบพุ่งการทำสงครามที่เข้มแข็งทรงมี
ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดินจนบังเกิดผลดีต่ออาณาประชาราษฎร์และแผ่นดินตลอดจนมีพระชนมายุในวัยอันสมควร
จนเป็นที่ภักดีและเกรงกลัวพระบารมีของผู้คนโดยทั่วไปความเป็นเทวราชา จึงจะประสบผลสำเร็จแต่ถ้าปราศจากปัจจัยเหล่านี้มาสนับสนุน
ความคิดแบบเทวราชาอาจล้มเหลวได้
การที่ความคิดทางการเมืองแบบเทวราชาสามารถผสมผสานกับความคิดทางการเมืองแบบธรรมราชาได้โดยมิได้เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
อาจสืบเนื่องมาจาก ประการแรก
คนไทยนับถือศาสนาพุทธโดยมีศาสนาพราหมณ์เจือปนอยู่ด้วย ประการที่สอง
แนวคิดทั้งสองล้วนแล้วแต่มีกุศโลบายที่จะเสริมสร้างพระราชอำนาจ ความชอบธรรม
และสิทธิธรรมทางการเมืองของพระมหากษัตริย์จึงสามารถให้การเกื้อกูลกันได้
15.3
ความคิดทางการเมืองแบบจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
การจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ หมายถึง
การกำหนดขอบเขตของพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ให้ทรงปฏิบัติภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
โดยที่พระมหากษัตริย์จะต้องทรงเคารพกฎเกณฑ์ดังกล่าวโดยมิพึงลีกเลี่ยงความคิดทางการเมืองแบบจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์มีลักษณะมุ่งจำกัดขอบเขตของพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
ซึ่งอยู่ในฐานะของประมุขของรัฐด้วยการสืบสันตติวงศ์ให้มีน้อยลงทั้งนี้ให้เป็นไปตามกฎหมายที่ตราขึ้นมาใช้บังคับ
โดยพระองค์จะใช้พระราชอำนาจทางด้านบริหาร นิติบัญญัติ
และตุลาการโดยผ่านทางคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และผู้พิพากษาตามลำดับโดยที่อำนาจอธิปไตยที่แท้จริงจะตกเป็นของปวงชน
2. สาเหตุที่ก่อให้เกิดความคิดทางการเมืองแบบจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
ความคิดทางการเมืองแบบจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
เริ่มอุบัติขึ้นในสังคมไทยสืบเนื่องมาจาก ประการแรก อิทธิพลของลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกที่มุ่งขยายอำนาจมาทางเอเชีย
ทำให้เกิดความคิดที่จะปฏิรูปเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองให้ทันสมัยขึ้น
เพื่อรับมือกับลัทธิจักรวรรดินิยม ประการที่สอง
ความก้าวหน้าทางด้านสติปัญญาในสังคมไทยอันเกิดจากการศึกษาตามแบบอย่างตะวันตก
ทำให้เห็นถึงความเจริญของประเทศที่มีระบบการเมืองการปกครองแตกต่างจากของไทยเราจึงคิดที่จะ
เปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองการปกครองเป็นอย่างเขาบ้างเพื่อความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมืองของไทยต่อไป
3. แนวพระราชดำริทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ต่อแนวคิดทางการเมืองสมัยใหม่
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีความเห็นว่าบ้านเมืองจะต้องมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้ทันสมัย
ทรงเห็นด้วยกับการมีรัฐธรรมนูญ แต่ต้องภายหลงรัชสมัยของพระองค์ไปแล้ว
พระองค์ทรงไม่เห็นด้วยกับการมีรัฐธรรมนูญรัฐสภาและพรรคการเมืองในขณะนั้น เพราะประชากรยังไม่พร้อมแต่พระองค์มิได้ทรงปฏิเสธในหลักการที่จะลดพระราชอำนาจสิทธิ์ขาด
ของพระมหากษัตริย์ให้น้อยลงหรือแม้กระทั่งการที่จะทรงยอมสละพระราชอำนาจในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์พระองค์เพียงแต่
ทรงทักท้วงในแง่ที่ว่าขณะนั้นสภาพการณ์ยังไม่พร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลงในลักษณะดังกล่าวสิ่งที่เป็นไปได้ในรัชสมัยของพระองค์ คือการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินก่อนสิ่งใดทั้งหมด
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีแนวพระราชดำริทางการเมืองในลักษณะเดียวกับพระราชบิดา
กล่าวคือทรงไม่เห็นด้วย กับการมีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองประเทศในขณะนั้นทรงเห็นว่าการมีรัฐสภานั้นประชาชนจะต้องพร้อมที่จะเลือกผู้แทนของตนเข้าไปนั่งในสภาได้
ถ้ายังไม่พร้อมก็ไม่ควรจะมีเพราะจะเกิดผลเสีย
มากกว่าเพราะอาจนำไปสู่ความสั่นคลอนของสถานภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์ได้
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นด้วยกับการมีรัฐธรรมนูญ
เป็นหลักในการปกครองประเทศถึงกับทรงเตรียมการพิจารณารัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ของประเทศไทยในขณะนั้น
แต่มิได้ทันที่จะทรงระราชทานรัฐธรรมนูญดังกล่าวให้กับปวงชนชาวไทย
ก็ถูกคณะราษฎรกระทำการยึดอำนาจการปกครองเสียก่อน
4. แนวความคิดทางการเมืองของกลุ่ม “*เจ้านายและข้าราชการ ร.ศ. 103”
“กลุ่มเจ้านายและข้าราชการ ร.ศ. 103” มีความเห็นว่า
บ้านเมืองของไทยในขณะนั้นสมควรจะมีการปกครองโดยพระมหากษัตริย์เป็นประมุขต่อไป
แต่พระราชอำนาจในการบริหารบ้านเมืองของพระองค์ควรจะอยู่ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
โดยที่ในระยะแรกๆ ไม่จำเป็นต้องมีรัฐสภาก็ได้
พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดในการวินิจฉัยและทรงมีพระบรมราชโองการในเรื่องใดๆ
ก็ได้โดยมอบหมายให้ขุนนางผู้ใหญ่รับไปปฏิบัติ โดยที่พระองค์มิได้ต้องทรงราชการนั้นๆ
ทุกอย่างด้วยพระองค์เอง
5. แนวความคิดทางการเมืองของคณะผู้ก่อการ ร.ศ. 130
แนวความคิดทางการเมืองของ “*คณะผู้ก่อการ ร.ศ. 103”
มีลักษณะที่ยินยอมให้พระมหากษัตริย์ยังคงดำรงตำแหน่งพระประมุขของประเทศ
แต่ทรงใช้พระราชอำนาจภายในขอบเขตที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
6. ความคิดทางการเมืองของ “*คณะราษฎร” ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
“คณะราษฎร” ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
มีความคิดทางการเมืองในลักษณะที่เป็นการจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
โดยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองที่พระมหากษัตริย์เป็นประมึขภายใต้รัฐธรรมนูญ
รวมทั้งเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะส่งเสริมและรักษาไว้ซึ่งเอกราชของชาติความปลอดภัยภายในประเทศ
ความสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ ความเสมอภาคและเสรีภาพ ตลอดจนการศึกษาของประชาชนให้ดีที่สุด
7. ความคิดทางการเมืองของ “*เทียนวรรณ”
“เทียนวรรณ” มีความคิดทางการเมืองในลักษณะที่เห็นด้วยกับกรมีสภาผู้แทนราษฎร
การมีรัฐสภาซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการบริหารประเทศ
โดยที่รัฐสภาจะสามารถแก้ไขปัญหาของราษฎร ป้องกันการฉ้อราษฎร์บังหลวง
และกระตุ้นให้ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตเพื่อประชาชน
การมีรัฐสภาจะแสดงออกถึงการมีสิทธิและเสรีภาพของประชาชนแต่อย่างไรก็ตาม “เทียนวรรณ” มิได้กล่าวถึง การมีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองประเทศแต่ประการใด
8. ความคิดทางการเมืองของ *ก.ศ.ร. กุหลาบ
ความคิดทางการเมืองของ “ก.ศ.ร. กุหลาบ” มีลักษณะสำคัญตรงที่เขาได้เน้นนถึงองค์ประกอบที่จะทำให้บ้านเมืองเป็นเอกราชอยู่ได้ซึ่งประกอบด้วยพระพุทธเจ้า
พระราชาณาจักร เสนามาตย์ราชบริพาร และไพร่พลทั้งหลาย ทั้ง 4 ประการนี้จะต้อง
เกื้อกูลซึ่งกันและกัน หลักแห่งความยุติธรรม ร่วมกันปรึกษาหารือกันและมีความรับผิดชอบต่อผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาและการจะประสบ
ผลสำเร็จในคำสั่งของตนได้จำเป็นจะต้องรอบรู้คำสั่งของตน
รอบรู้วิธีการที่จะทำตามคำสั่งให้สำเร็จและรอบรู้ในตัวบุคคลที่จะรับคำสั่งไปปฏิบัติ
9. ความสำเร็จและความล้มเหลวของแนวคิดทางการเมืองแบบจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
การที่ความคิดทางการเมืองแบบจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
เป็นความจริงทางด้านปฏิบัติขึ้นมาได้ในปี พ.ศ. 2475 นั้น
นอกจากประชาชนส่วนหนึ่งให้การสนับสนุนแล้ว
ยังสืบเนื่องมาจากควมคิดเห็นดังกล่าวได้สอดคล้องกับแนวพระราชดำริของรัชกาลที่ 7
ที่ทรงมีอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
15.4
ความคิดทางการเมืองแบบชาตินิยม
1. ความหมายของคำว่า “*ชาตินิยม”
ชาตินิยม หมายถึง
สภาพความรู้สึกนึกคิดอันได้แก่ ความจงรักภักดีที่มีต่อความเป็นเลิศของรัฐชาติของตน
หรือต่อสภาพที่เป็นจริงของรัฐชาติของตน
ความจงรักภักดีอันนี้อยู่เหนือความจงรักภักดีทั้งปวง
และสิ่งที่แยกไม่ได้คือความภูมิใจในเชื้อชาติของตน
ความเชื่อในความดีเลิศที่แฝงอยู่ภายใน และความเชื่อในเรื่องภาระหน้าที่ของตน
2. แนวพระราชดำริทางการเมืองแบบชาตินิยมของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
การที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีแนวพระราชดำริทางการเมืองแบบชาตินิยมเป็นผลสืบเนื่องมาจากสถานการณ์โลกในขณะนั้นกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะสงครามซึ่งอาจมีผลกระทบกระเทือนต่อคนไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมขณะเดียวกันไทยก็ต้องตกอยู่ในภาวะความเสียเปรียบมหาอำนาจตะวันตกทั้งทางการเมือง
เศรษฐกิจ และการศาล มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ประกอบกับขณะนั้นชนชั้นกลางก็กำลังมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจก็ตกอยู่ในมือของคนจีนในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่
แนวพระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ 6) มีลักษณะสำคัญอยู่ที่การเน้นความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนาและ
พระมหากษัตริย์เป็นสำคัญ
3. ความคิดทางการเมืองแบบชาตินิยมของ*จอมพล ป. พิบูลสงคราม
ความคิดทางการเมืองแบบจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เน้นถึงความรับผิดชอบของประชาชนในชาติร่วมกันกับรัฐฐาลต่อเอกราชชของชาติ
สิทธิอันพึงมีของชาติ และการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญเป็นพื้นฐานสำคัญ
เน้นถึงความสำคัญทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับความมั่นคงของชาติ
โดยพยายามให้คนไทยขยันประกอบอาชีพและใช้ของที่ผลิตขึ้นโดยคนไทยการที่จะสร้างชาติให้เป็นมหาอำนาจได้
จะต้องสร้างพลเมืองให้เป็นพลเมืองดีเสียก่อน
ต้องการให้ประชาชนปฏิบัติตามนโยบายสร้างชาติของรัฐบาลโดยเคร่งครัด
4. ความคิดทางการเมืองแบบชาตินิยมของ*หลวงวิจิตรวาทการ
ความคิดทางการเมืองแบบชาตินิยมของหลวงวิจิตรวาทการ
มีลักษณะของการเนความสำคัญของการสร้างความยิ่งใหญ่ของชาติด้วยการขยายอาณาเขต
สร้างความเป็นเอกภาพให้กับประชาชนชาติไทยทั้งมวล
เกียรติศักดิ์และศักดิ์ศรีของชาติที่ยิ่งใหญ่จะบังเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนร่วมชาติหรือร่วมเผ่าพันธุ์มิได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของชาติอื่น
การปลูกฝังความรู้สึกในเรื่องชาตินิยมให้กับคนไทยจะทำให้ชาติไทยดำรงอยู่ได้
5.
การผสมผสานแนวความคิดเรื่องชาตินิยมกับเผด็จการทหารของ*จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ความคิดทางการเมืองแบบชาตินิยมผสมเผด็จการการทหารของจอมพลสฤษดิ์
มีลักษณะสำคัญที่เน้นความสำคัญของชาติศาสนา และ พระมหากษัตริย์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รวบรวมเอาความสำคัญของชาติ และพระมหากษัตริย์เป็นทางเดียวกันจะแยกจากกันมิได้
การจะสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันชาติ ศาสนา
และพระมหากษัตริย์ได้จะต้องอาศัยกลไกของระบบเผด็จการทหารเป็นสำคัญ
แนวคิดในการจัดระเบียบทางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ ประกอบด้วยหลัก 3
ประการ คือ
(1) การเมืองจะต้องอาศัยหลักการของไทย จะต้องละทิ้งอุดมการณ์ของต่างประเทศและจะต้องฟื้นฟูอุดมการณ์แบบไทย
ๆ ให้เป็นอุดมการณ์หลัก
(2) ประเทศชาติจะเป็นระเบียบไม่ได้
ถ้ายังมีระบบพรรคการเมืองที่แบ่งแยกตามแนวตั้ง ควรจะให้รัฐหรือรัฐบาลเป็นตัวแทน เจตนารมณ์ของประชาชนและกำหนดแนวทางของชาติ โดยรัฐมีอำนาจสูงสุด
(3) การปกครองควรใช้ระบบบิดาปกครองบุตร
15.5
ความคิดทางการเมืองแบบสังคมนิยม
1. ความหมายของคำว่า “*สังคมนิยม”
สังคมนิยม หมายถึง
ระบบเศรษฐกิจและการเมืองที่มีนโยบายมุ่งสนับสนุนและปรารถนาจะให้ชุมชนสังคม
หรือส่วนรวมถือกรรมสิทธิ์หรือควบคุมการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยในการผลิต เช่น
ทุน ทรัพยากร ที่ดิน วิทยาการ
ทั้งนี้เพื่อมุ่งกระจายประโยชน์เหล่านี้เพื่อประชาชนทั้งมวล
2. ความคิดแบบสังคมนิยมของ*นายปรีดี พนมยงค์
2. ความคิดแบบสังคมนิยมของ*นายปรีดี พนมยงค์
ความคิดทางการเมืองแบบสังคมนิยมของนายปรีดี พนมยงค์
ที่แสดงออกในเค้าโครงเศรษฐกิจ มีลักษณะของการมุ่งเน้นการดำเนินงานให้รัฐเข้าควบคุมปัจจัยการผลิตและการผลิตทั้งหมดโดยยึดหลักการประนีประนอม
และตอบแทนผลประโยชน์ให้กับเจ้าของปัจจัยการผลิตและผู้ผลิตเดิม
ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องดำเนินงานให้ผลประโยชน์ที่ได้จากการผลิตได้กระจายไปสู่ประชาชนโดยทั่วถึงกันด้วย
3. ความคิดแบบสังคมนิยมของ*จิตร ภูมิศักดิ์
3. ความคิดแบบสังคมนิยมของ*จิตร ภูมิศักดิ์
จิตร ภูมิศักดิ์
มีความเห็นในทางการเมืองในลักษณะที่เป็นปักษ์ต่อจักรวรรดินิยมเผด็จการทหาร
ศักดินานิยม และทุนนิยม
เขามีความเชื่อมั่นในทฤษฎีการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะต่อการกขี่ที่ไหดรับจากชนชั้นสูงของพวกกรรมกรและชาวไร่ชาวนาผู้ยากไร้
เขาเชื่อในทฤษฎีที่ว่าด้วยวัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์ตามแนวทางของมาร์กซิสต์
เพื่อความบรรลุถึงสังคมนิยมที่แท้จริง
ธรรมราชา หมายถึง ผู้นำที่ใช้ธรรมะในการปกครองประชาชน
โดยผู้นำดังกล่าวทรงไว้ซึ่งความรู้ในธรรมะของพุทธศาสนาเป็นอย่างดี หรือ
กษัตริย์ที่ใช้ธรรมะในการปกครองประชาชน
*ความคิดทางการเมืองแบบธรรมราชาของพระมหาธรรมราชาลิไทแห่งกรุงสุโขทัย มีลักษณะสำคัญ
กล่าวคือการเน้นให้เห็นถึงลักษณะของพระมหากษัตริย์ที่เป็นธรรมราชานั้น
จะต้องยึดมั่นในทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร และพระราชจรรยานุวัตร ตามหลักพระพุทธศาสนา
นอกจากนี้ยังต้องมีหลักปฏิบัติในการกครอง
รวมทั้งประเพรีการปกครองและความยุติธรรมทางการเมือง สำหรับธรรมราชาควบคู่ไปด้วย พระมหากษัตริย์ที่เป็นธรรมราชาจะต้องเป็นผู้นำประชาชนให้ก้าวพ้นวัฏฏสังสารของโลกนี้ให้ได้
ความคิดทางการเมืองแบบธรรมราชาของพระมหาธรรมราชาลิไทนับเป็นการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้กับพระองค์ ในอีกทางหนึ่ง
*เทวราชา หมายถึง
กษัตริย์ที่เป็นพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นความคิดทางการเมืองแบบเทวราชาจึงเป็นความคิดทางการเมืองที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์จะต้องทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้า
เป็นผุ้มีพระราชอำนาจสูงสุด มีความศักดิ์สิทธิ์
ผู้ใดจะละเมิดมิได้พระผู้เป็นเจ้าดังกล่าวได้แก่
พระศิวะหรือพระวิษณุก็ได้ตามคติความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ ความคิดทางการเมืองแบบเทวราชาของไทยแต่เดิมมีรากเหง้าอยู่ในอินเดีย
ต่อมาเมื่ออินเดียติดต่อกับเอเชียอาคเนย์
ความคิดทางการเมืองแบบเทวราชาก็แพร่ขยายเข้ามาในชวาและอาณาจักรโบราณต่าง ๆ
ในแหลมอินโดจีน
ไทยอาจรับมาจากเขมรโดยตรงก็ได้หรืออาจจะรับจากวัฒนธรรมของพื้นบ้านเดิมในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาโดยตรงก็ได้
*ลักษณะเทวราชาแบบไทย
การที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่หนึ่ง หรือ
พระเจ้าอู่ทองแห่งราชอาณาจักรอยุธยาทรงรับเอาความคิดทางการเมืองแบบเทวราชามาใช้อาจสืบเนื่องมาจากเหตุผลสามประการ
ประการแรก เจตนารมณ์ทางการเมืองของพระเจ้าอู่ทองในการประกาศตนเป็นอิสระ
ไม่ยอมรับอำนาจและอิทธิพลสุโขทัยซึ่งมีการปกครองแบบธรรมราชาเป็นเอกลักษณ์สำคัญ ประการที่สอง
การได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์ซึ่งมีอยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเขมรมาก่อน
และประการที่สาม อาจได้รับอิทธิพลจากราชสำนักเขมรโดยตรงก็อาจเป็นได้ ความคิดทางการเมืองแบบเทวราชาของไทยตั้งอยู่บนรากฐานของความเชื่อที่ว่า
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าตามหลักศาสนาพราหมณ์
ดังนั้นจึงต้องมีกฎเกณฑ์และข้อปฏิบัติต่อพระมหากษัตริย์เป็นกรณีพิเศษแตกต่างไปจากคนธรรมดาสามัญทั่วไป
ทั้งนี้เพื่อแสดงถึงพระราชอำนาจอันสูงสุดและศักดิ์สิทธิ์ที่ผุ้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์
แต่อย่างไรก็ตามเทวราชาของไทยก็มิได้เป็นพระผู้เป็นเจ้าที่เคร่งครัดเหมือนกับเทวราชาของเขมร
แต่ขณะเดียวกันก็มิได้เป็นคนธรรมดาสามัญแบบพ่อขุนของสุโขทัย
ทั้งนี้เพราะคนไทยยึดถือครอบครัวเป็นหลักในการดำรงชีวิต
การที่คนไทยถือครอบครัวเป็นใหญ่จึงทำให้คนไทยเห็นพระมหากษัตริย์เสมือนหนึ่งเป็นผู้นำครอบครัวอยู่นั่นเอง
ถึงแม้จะมีฐานะประดุจดังเทพเจ้าก็ตามนอกจากนี้อาจเป็นเพราะพระมหากษัตริย์ทรงนับถือพระรัตนตรัยเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป
ความรู้สึกร่วมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจึงเกิดขึ้น
*การผสมผสานแนวคิดแบบธรรมราชาและแนวคิดแบบเทวราชาเข้าด้วยกัน การที่ความคิดทางการเมืองแบบเทวราชาสามารถผสมผสานกับความคิดทางการเมืองแบบธรรมราชาได้โดยมิได้เป็นปฏิปักษ์
ต่อกัน อาจสืบเนื่องมาจาก ประการแรก คนไทยนับถือศาสนาพุทธโดยมีศาสนาพราหมณ์เจือปนอยู่ด้วย
ประการที่สอง
แนวคิดทั้งสองล้วนแล้วแต่มีกุศโลบายที่จะเสริมสร้างพระราชอำนาจความชอบธรรม
และสิทธิธรรมทางการเมืองของพระมหากษัตริย์จึงสามารถให้การเกื้อกูลกันได้
*การจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ หมายถึง การกำหนดขอบเขตของพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ให้ทรงปฏิบัติภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
โดยที่พระมหากษัตริย์จะต้องทรงเคารพกฎเกณฑ์ดังกล่าวโดยมิพึงหลีกเลี่ยง
ความคิดทางการเมืองแบบจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์มีลักษณะมุ่งจำกัดขอบเขตของพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
ซึ่งอยู่ในฐานะของประมุขของรัฐด้วยการสืบสันตติวงศ์ให้มีน้อยลงทั้งนี้ให้เป็นไปตามกฎหมายที่ตราขึ้นมาใช้บังคับ
โดยพระองค์จะใช้พระราชอำนาจทางด้านบริหาร นิติบัญญัติ
และตุลาการโดยผ่านทางคณะรัฐมนตรีรัฐสภาและผู้พิพากษาตามลำดับโดยที่อำนาจอธิปไตยที่แท้จริงจะตกเป็นของปวงชน
*เจ้านายและข้าราชการ ร.ศ. 103
คือ กลุ่มบุคคลที่ประกอบด้วยเจ้านาย 4 พระองค์
ประกอบด้วย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหมื่นพิทยลาภ พฤฒิธาดา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัฒนวิศิษฏ์
พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ และข้าราชการ จำนวน 7 ท่าน ประกอบด้วย
พระยาดำรงค์ราชพลขันธ์ หลวงเดชนายเวร หลวงวิเลศสาลีบุศย์
เพ็ญกุล ขุนปฏิภาณพิจิตร นายเปลี่ยน และนายเรือตรีสอาด
ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศด้วยกันทั้งสิ้น
เสนอแนวคิดในการเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการแผ่นดิน ใน พ.ศ. 2427 ต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่น
การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
*คณะผู้ก่อการ
ร.ศ. 130 คือ กลุ่มบุคคลที่ปรารถนาจะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบรัฐธรรมนูญ
ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่แผนการล้มเหลวและถูกจับกุมได้ทั้งหมดใน พ.ศ. 2454
ที่ประกอบด้วยบุคคลสำคัญ อาทิ ร.ต.เหรียญ ศรีจันทร์ ร.ต.จรูญ ษตะเมษ
ร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์ (เหล็ง ศรีจันทร์) เป็นต้น
*คณะราษฎร
เป็นการรวมกันของบุคคลที่มีความคิดเห็นทางการเมืองสอดคล้องกันในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย
ใน พ.ศ. 2475 ประกอบด้วยบุคคลสำคัญทั้งทหารและพลเรือนที่ผ่านการศึกษาจากต่างประเทศอาทิ
ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี ร.ท. แปลก ขีตตะสังคะ ร.ต. ทัศนัย มิตรภักดี ดร. ตั้ว
ลพานุกรม นายปรีดี พนมยงค์
เป็นต้น
*เทียนวรรณ (พ.ศ. 2385-2485)
เป็นปัญญาชนที่มีความคิดก้าวหน้า
ที่มีบทบาทสำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เคยบวชเรียนและเดินทางไปต่างประเทศหลายครั้ง
เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการนำเสนอแนวคิดทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมสมัยใหม่
เช่น การให้ความสำคัญกับการก่อตั้งสถาบันรัฐสภา เป็นต้น
และเป็นบุคคลแรกที่มีการนำเสนอให้มีการจัดตั้งสำนักงานทนายความและเคยออกหนังสือหลายฉบับ
*ก.ศ.ร. กุหลาบ (พ.ศ.2377-2456)
เป็นปัญญาชนร่วมสมัยกับเทียนวรรณเคยบวชเรียนและใช้เวลาว่างในการเรียนภาษาทั้งอังกฤษ
ละติน และฝรั่งเศส และศึกษาวิชากฎหมายและการบริหารราชการแผ่นดิน
เป็นผู้มีความรู้อย่างกว้างขวางทั้งประวัติศาสตร์ ศาสนา และพงศาวดาร เป็นต้น
และนำความรู้ทางด้านพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการอธิบายทางการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน
*ชาตินิยม หมายถึง
สภาพความรู้สึกนึกคิดอันได้แก่ ความจงรักภักดีที่มีต่อความเป็นเลิศของรัฐชาติของตน
หรือต่อสภาพที่เป็นจริงของรัฐชาติของตนความจงรักภักดีอันนี้อยู่เหนือความจงรักภักดีทั้งปวงและสิ่งที่แยกไม่ได้คือความภูมิใจในเชื้อชาติของตน
ความเชื่อในความดีเลิศที่แฝงอยู่ภายในและความเชื่อในเรื่องภาระหน้าที่ของตน
*จอมพล ป. พิบูลสงคราม
เป็นชาวจังหวัดนนทบุรี ผ่านการศึกษาทางด้านการทหารในเหล่าทหารปืนใหญ่
เป็นสมาชิกของคณะราษฎร และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสองสมัย ใน พ.ศ. 2881-2487
และ 2491-2500 มีแนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองแบบชาตินิยมและฟาสซิสต์
เป็นส่วนสำคัญ
*หลวงวิจิตรวาทการ (พ.ศ.2411-2505)
เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญที่มีแนวคิดแบบชาตินิยม
ที่เน้นความยิ่งใหญ่ของเผ่าไทย ประเทศไทย เป็นต้น และมีอิทธิพลทางความคิดต่อนายกรัฐมนตรีสองท่าน
คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
*จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
เป็นชาวกรุงเทพฯ ที่มีมารดาเป็นชาวมุกดาหารดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยใน
พ.ศ. 2501-2506 มีแนวคิดที่เป็นการผสมผสานระหว่างแนวคิดชาตินิยมกับเผด็จการทหาร
เน้นความจงรักภักดีต่อชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ และเน้นการปกครองแบบไทย เช่น
การปกครองแบบพ่อขุนเหมือนในสมัยสุโขทัย เป็นต้น
*สังคมนิยม หมายถึง
ระบบเศรษฐกิจและการเมืองที่มีนโยบายมุ่งสนับสนุนและปรารถนาจะให้ชุมชนสังคม
หรือส่วนรวมถือกรรมสิทธิ์หรือควบคุมการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยในการผลิต เช่น
ทุน ทรัพยากร ที่ดิน
วิทยาการทั้งนี้เพื่อมุ่งกระจายประโยชน์เหล่านี้เพื่อประชาชนทั้งมวล
*ปรีดี พนมยงค์ (พ.ศ. 2443-2526)
เป็นชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สำเร็จการศึกษาทางด้านกฎหมายในระดับปริญญาเอกจากประเทศฝรั่งเศส เป็นสมาชิกคณะราษฎร
เป็นผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เคยเป็นนายกรัฐมนตรีใน
พ.ศ. 2489 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ. 2475
เคยเสนอแนวคิดเรื่องเค้าโครงการศรษฐกิจที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับแนวคิดของประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ *จิตร ภูมิศักดิ์ หรือ สมสมัย
ศรีศูทรพรรณ
เป็นปัญญาชนที่มีแนวคิดแบบสังคมนิยม และนำเสนอแนวคิดโดยผ่านงานวรรณกรรม
ที่มีชื่อเสียง คือ โฉมหน้าศักดินาไทย แลเคยถูกจับกุมในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
และภายหลังถูกปล่อยออกจากและเข้าป่าจนเสียชีวิตภายหลังการถูกลอบสังหาร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น