เสรีภาพกับสัญญาประชาคม
8.1
ภูมิหลังสิ่งแวดล้อมและความคิดมูลฐานของฌอง ฌาค
รุสโซ
เจนีวากับชีวิตในวัยเยาว์ของรุสโซ
รุสโซ
เกิดที่ เจนีวา ค.ศ. 1721 ต้นตระกูลเป็นชาวฝรั่งเศส เริ่มด้วยดิดีเอร์ รุสโซ พื้นเพเป็นชาวปารีสมีอาชีพขายหนังสือ ได้อพยพมาอยู่เจนีวา ค.ศ. 1540
ต่อมาได้ยึดอาชีพเป็นช่างทำนาฬิกาได้สะสมเงินจำนวนมาก ทวดของรุสโซคือ เดวิด ทิ้งสมบัติให้ลูกหลานต้องแบ่งกันถึง 10 คน บิดาของรุสโซคือ อิสสัน
ไม่ค่อยลงรอยกับผู้ปกครองเจนีวาและชาวเมือง ซึ่งเคร่งครัดในศีลธรรม ต้องเนรเทศตนเองออกจากเมืองถึงสองครั้งผลาญมรดกเกือบหมดสิ้น
รุสโซ กำพร้าแม่
พ่อไปอยู่ที่อื่นจึงอยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของป้าและน้าๆ
เป็นผู้ให้การศึกษาแก่รุสโซในเริ่มแรก
เมื่ออายุ 16 ปี
รุสโซได้หนีออกจากเจนีวามาอยู่ที่ซามัว
มาอยู่กับมาดาม เดอ วารังส์
เมืองอันเนอซี่
รุสโซกับชีวิตที่เร่ร่อนพเนจร
ที่ตูแรง รุสโซภายใต้การดูและของบาทหลวงไม่นาน ต้องเร่ร่อนตามถนนในตูแรง มาเป็นคนรับใช้ ชีวิตในช่วงนี้รุสโซมีชีวิตที่มืดมนถึงกับลักขโมยของถูกเหยียดหยามต่างๆ
นานา หลังจากใช้ชีวิตในตูแรง 2 ปีก็กลับมาหามาดาม เดอ วารังส์อีก
และใช้ชีวิตอยู่กับมาดาม เดอ วารังส์ ถึง 9 ปี
ตลอดระยะเวลา 9 ปี ความคิดของรุสโซได้พัฒนาไปมากเพราะเจ้าของบ้านก็เป็นปัญญาชนคนหนึ่ง บรรดาแขกมาที่ที่บ้านก็ล้วนเป็นปัญญาชนทั้งนั้น
ความเฉลียวฉลาดของรุสโซเข้าลักษณะผู้ที่เรียนรู้ด้วยตัวเอง
คือ สามารถเรียนรู้สิ่งที่คนทั้งหลายเห็นว่ายากได้อย่างรวดเร็ว แต่เข้าใจลำบากในสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าง่าย
ในที่สุดรุสโซไปอยู่ที่เมืองลีออง
ประเทศฝรั่งเศส มีอาชีพสอนหนังสือ เริ่มจากเสนอโน้ตดนตรีแบบใหม่ต่อบัณฑิตยสถาน หลังจากนั้นได้เข้ารับตำแหน่งเลขานุการทูตกษัตริย์แห่งฝรั่งเศสประจำสาธารณรัฐเวนิส
ค.ศ.1745 ได้ขัดแย้งกับทูตได้เดินทางกลับปารีส
ภายหลังได้ทำงานกับนายธนาคารผู้หนึ่งในตำแหน่งการบัญชี
ผลงานเริ่มสร้างชื่อเสียงให้กับรุสโซ
ค.ศ.1749 รุสโซได้อ่านพบประกาศในหนังสือพิมพ์ Le
Mercure de France ว่าบัณฑิตยสภาเมือง ดิจองจัดความเรียงในหัวข้อ ความเจริญก้าวหน้าของศิลปะและศาสตร์ต่าง
ๆ ทำให้มนุษย์ดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้นจริงหรือไม่
รุสซได้ส่งเข้าประกวดและได้รางวัลที่ 1 รุสโซกลายเป็นคนมีชื่อเสียงในทันที
ค.ศ. 1753 สี่ปีต่อมา
บัณฑิตยสถานเมืองจิดอง
จัดประกวดความเรียงเรื่อง ความเรียงเรื่อง
ต้นกำเนิดแห่งความไม่เสมอภาคระหว่างมนุษย์ รุสโซได้ลงแข่งขั้นอีก
เนื้อหาสาระในความเรียงเรื่องนี้เป็นผลงานชิ้นสำคัญของรุสโซ ซึ่งมีอิทธิพลในโลกในศตวรรษต่อๆ มา ในปีต่อมา รุสโซได้เขียนเรื่อง เศรษฐกิจการเมือง ให้แก่
หนังสือชุดเอ็นไซโคลปีเดีย
บั้นปลายของรุสโซ
ผลงานเรื่อง Emile
ก่อให้เกิดการโต้แย้งอย่างรุนแรงจากองค์การศาสนาและรัฐ เข้าต้องหนีไปอยู่ชั่วคราวในเมืองเนอชาแตลภายใต้การคุ้มครองของเฟรเดริคที่ 2
ค.ศ. 1767
รุสโซกลับเข้าประเทศฝรั่งเศสอยู่ที่ปารีส
งานเขียนที่สำคัญ ๆ มี “คำสารภาพ”
ข้อเสนอแนะทางปฏิบัติเกี่ยวกับระบอบการปกครองสำหรับเกาะคอร์ซิกา กับโปรแลนด์ เดือนพฤษภาคม
ค.ศ. 1778 รุสโซได้ใช้ชีวิตที่เมืองเออร์มโนวิลล์ ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 2
กรกฎาคม ค.ศ. 1778
8.1.2 ความคิดมูลฐานของฌอง ฌาค
รุสโซ
1. ความเจริญก้าวหน้าของศิลปะและศาสตร์ต่างๆ
ทำให้มนุษย์ดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้นจริงหรือไม่
ในหัวข้อนี้บรรดาผู้เสนอต่าง
ๆ มีความเห็นเป็นเชิงบวก คือสามารถทำให้มนุษย์ในศตวรรษที่
18 เจริญขึ้นและมีความสุขมากขึ้น
แต่รุสโซกลับมีความคิดตรงกันข้ามโดยชี้ให้เห็นว่า อารยธรรมได้ทำให้มนุษย์เสื่อม
มนุษย์ที่ดีที่สุดและมีความสุขมากที่สุดได้แก่มนุษย์ที่อยู่ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด
ในความเรียงเรื่องนี้เป็นความคิดมูลฐานของรุสโซต่อมากลายเป็นพื้นฐานผลงานเขียน นั่นคือ
มนุษย์เกิดมาดี แต่สังคมทำให้มนุษย์ดุร้าย
2.
ความเรียงเรื่อง ต้นกำเนิดแห่งความไม่เสมอภาคระหว่างมนุษย์
ผลงานนี้ รุสโซได้เริ่มจากการจำแนกความไม่เสมอภาคระหว่างมนุษย์ออกเป็น 2 รูปแบบ
คือ
1)
ความไม่เสมอภาคตามธรรมชาติ
อันเกิดจากความแตกต่างของพละกำลังทางร่างกาย ความฉลาด
ความขยันขันแข็ง
2)
ความมาเสมอภาคจากความแตกต่างทางสภาวะต่าง ๆ ทางสังคม
ความไม่เสมอภาค
2 รูปแบบไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกัน
รุสโซเชื่อว่าการผ่านจากสภาวะหนึ่งไปสู่สภาวะหนึ่งมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ในช่วงนี้แหละอุปนิสัยใจคอมนุษย์เริ่มแปรผันไปในทางที่เลวลง
การรวมตัวกันเป็นสังคม รุสโซเห็นว่า
ในระยะแรกเกิดจากความจำเป็น มนุษย์คนแรกที่กั้นรั้วและประกาศว่า นี่เป็นของฉัน และมีมนุษย์ที่โง่พอที่จะเชื่อ
เข้าผู้นั้นนั่นแหละที่เป็นผู้ก่อตั้งสังคมขึ้นมา ระบบกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนตัวนี้เอง ที่ก่อให้เกิดการสะสมความมั่งคั่ง
โดยเจ้าของที่ดินซึ่งมีผลผลิตบริโภคจำนวนมาก สามารถซื้อแรงงานของผู้ไม่มีอะไรเลยอย่างง่ายดาย
ในระยะต้นๆ ยังไม่มีพลังอำนาจรัฐมาปกป้องคุ้มครองผู้มั่งคั่ง ก็คิดอย่างแนบเนียนที่สุด
นั่นคือใช้พลังงานศัตรู (พลังงานศัตรูหมายถึง ผู้ไม่มีอะไรเลย ผู้ขายแรงงาน) มาปกป้องพวกตนโดยจัดตั้งรัฐขึ้นภายใต้กฎหมาย
ซึ่งผิวเผินแล้วให้หลักประกันต่อชีวิตและทรัพย์สินทุกคน แต่ความเป็นจริงผู้ที่ได้ประโยชน์คือผู้มั่งคั่ง
รุสโซสรุปว่า นี่คือต้นกำเนิดของสังคมและกฎหมายซึ่งสร้างพันธนาการใหม่ๆ
ให้กับผู้อ่อนแอและพลังใหม่ๆ แก่ผู้แข็งแรง เป็นการทำลายเสรีภาพธรรมชาติไม่มีวันกลับคืนมา
และสร้างระเบียบข้อบังคับว่าด้วยทรัพย์สินและความไม่เสมอภาคชั่วนิรันดร์
รัฐคือผู้ปกป้องชนชั้นนายทุน
8.2
สัญญาประชาคมและผลสะท้อนของประชาคม
8.2.1
แนวความคิดเกี่ยวกับสัญญาประชาคมและสภาวธรรมชาติของรุสโซ ฮอบส์
ล็อค
สัญญาประชาคม พิมพ์จำหน่าย
ค.ศ. 1762 เป็นงานเขียนที่สร้างชื่อเสียงให้กับรุสโซมากที่สุด รุสโซคือบุรุษผู้ซึ่งไขว่คว้าหาเอกภพ
ความต้องการที่จะมีรัฐไม่ใช่เป็นความต้องการที่ขัดต่อธรรมชาติมนุษย์ เจตจำนงทั่วไปหรือเจตจำนงส่วนรวมนั้นอันที่จริงแล้วก็คือสิ่งที่เป็นธรรมชาติ
แนวความคิด สัญญาประชาคม
ฮอบส์ สัญญาประชาคม
เป็นสัญญาที่กระทำขึ้นระหว่างบุคคลแต่ละบุคคลมอบสิทธิธรรมชาติให้กับบุคลที่สาม บุคคลที่สามจึงไม่มีพันธะผูกพันใดๆ
ล็อค
สัญญาประชาคมเกิดจากความยินยอมของทุกคนที่จัดตั้งสังคมขึ้นมา
เพื่อเป็นหลักประกันในการดำรงชีวิต
พิทักษ์ความปลอดภัยโดยรัฐ
รุสโซ
สัญญาประชาคมเป็นสัญญาที่แต่ละคนเข้าร่วมกับคนทั้งหมด เป็นสัญญาที่กระทำกับประชาคม มีความเป็นเอกภาพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แนวความคิด สภาวะธรรมชาติ
ฮอบส์ สภาวะธรรมชาติเป็นสภาวะที่อันตราย เป็นสภาวะที่ต้องหลุดหนีออกโดยเร็วที่สุด
ล็อค สภาวะธรรมชาติเป็นสภาวะที่ไม่จำเป็นว่าดีหรือเลวเสมอไป
มนุษย์จะเปลี่ยนจากสภาวธรรมชาติมาสู่สังคมที่ดีหรือเลวก็ได้
รุสโซ สภาวะธรรมชาติเป็นสภาวะที่ผาสุก เป็นสภาวธรรมชาติจริงๆ
ดังนั้น สภาวะธรรมชาติของรุสโซเป็นสภาวธรรมชาติจริง ๆ
ที่มนุษย์เร่ร่อนพเนจรไม่มีภาษา
ไม่มีความสัมพันธ์อันสม่ำเสมอ เป็นสภาวะที่ขาดดุลทั้งเหตุผลและศีลธรรม
มนุษย์ในสภาวธรรมชาติเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่ง ว่องไว
ปราดเปรียว
มนุษย์มีความสุขเพราะไม่ต้องการอะไรมาก
เพื่อความสุขที่สมบูรณ์ขึ้น
หรือไม่ก็เพื่อความทุกข์ ที่มนุษย์มีความสามารถอยู่ 2 ประการ
1.เสรีภาพที่ยอมต่อต้านกับความสามารถที่ปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น
มนุษย์ต้องการความสุขแห่งครอบครัว
ต้องการได้สิ่งที่จำเป็นของชีวิตเข้าอย่างรวดเร็วและสบายขึ้นฯ
2.
มนุษย์ที่มีความสุขยิ่งกว่าช่วงแรก
พัฒนาการช่วงนี้ทำให้มนุษย์มีความสุขมากที่สุดและมั่นคงถาวรมากที่สุด
เป็นช่วงที่มนุษย์อยู่กึ่งกลางระหว่างความรู้สึกไม่ยินดียินร้ายแห่งสภาวะแรกกับความตื่นเต้นกับความเป็นอยู่ของตนเอง
มนุษย์หลุดพ้นออกจากสภาวะนี้ด้วยความโชคร้ายโดยบังเอิญ
นั่นคือ การรู้จักค้นคิดประดิษฐ์การใช้โลหะและเกษตรกรรม
ทั้งสองสาเหตุก่อให้เกิดการเอาที่ดินเป็นทรัพย์สินส่วนตัวก่อให้เกิดความไม่เสมอภาค ความมั่งคั่งความทุกข์ยาก เกิดการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน รวมถึงตัณหาอารมณ์และความไม่สงบต่าง ๆ จากชะตากรรมนี้ไม่อาจกลับคืนสู่สภาวะเดิมได้ รุสโซ
สังคมเป็นผลิตผลของวิวัฒนาการที่เลวร้าย
8.2.2 รุสโซ
กับแนวความคิดใหม่เกี่ยวกับเสรีภาพและความเสมอภาค
รุสโซต้องการเสรีภาพ แต่เป็นเสรีภาพแบบฉบับของคนโบราณ คือ เสรีภาพอันมาจากการมีส่วนร่วมในอำนาจ
ในขณะที่เสรีภาพของคนสมัยใหม่เป็นเสรีภาพแห่งการประพฤติปฏิบัติตนของกลุ่มบุคคล
จุดนี้เองเป็นจุดทางแยกของเสรีนิยมมีทาง 2
แพ่งเปิดเอาไว้ในการขจัดระบอบอำนาจเด็ดขาดของกษัตริย์ ได้แก่
1.
การแบ่งกระจายอำนาจออกไปไม่ให้รวมอยู่ที่องค์กรเดียว ได้แก่ ทฤษฎีการถ่วงดุลระหว่างพลังอำนาจต่าง
ๆ ของมองกิเออ นำไปสู่การทำลายล้างการรวบอำนาจระบอบอำนาจเด็ดขาด
2.
การเอาอำนาจกษัตริย์มาให้กับประชาคม
ในทฤษฎีของรุสโซ
เป็นเรื่องของการโอนอำนาจส่วนตัวกษัตริย์มาให้กับประชาชน
เสรีภาพของล็อค ผูกเสรีภาพกับกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินเข้าด้วยกัน
เสรีภาพของรุสโซ ผูกเสรีภาพกับความเสมอภาค
8.2.3
ทรรศนะของรุสโซเกี่ยวกับองค์อธิปัตย์และเจตจำนงทั่วไป
องค์อธิปัตย์
มนุษย์เกิดมาอิสระ
และทุกหนทุกแห่งมนุษย์ตกอยู่ในพันธนาการ....การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้อย่างไร
อะไรทำหน้าที่ให้การเปลี่ยนแปลงนี้มีความชอบธรรม ฉันคิดว่าสามารถตอบปัญหานี้ได้...
ข้อความข้างต้นโด่งดังมาก เป็นข้อความเปิดฉาก สัญญาประชาคม
พันธะสังคมไม่มีพื้นฐานจากการบังคับ
สิทธิที่แข็งแรงที่สุดไม่มี
สัญญานี้ เราแต่ละคนมอบตัวเราเองและพลังอำนาจทั้งหมดของเราให้อยู่ใต้เจตจำนงทั่วไปร่วมกัน
เจตจำนงขององค์อธิปัตย์
ก็คือตัวอธิปัตย์เอง รุสโซเห็นว่า สมาชิกแต่ละคนขององค์คณะกรรมการการเมืองเข้าไปร่วมกิจกรรมขององค์คณะการเมืองเมื่อปฏิบัติการเรียกว่า
องค์อธิปัตย์
และเมื่อไปปฏิบัติการเรียกว่า รัฐ
เป็นผู้อยู่ใต้ปกครองเมื่อเขาเคารพกฎหมายที่องค์คณะกรรมการการเมืองหรือองค์อธิปัตย์ซึ่งเขาเป็นสมาชิกอยู่นั้นให้ความเห็นชอบ สมาชิกในองค์คระกรรมการการเมืองมีอยู่ 2
ฐานะ คือ
1. เป็นราษฎรหรือผู้ปกครอง
2. ผู้อยู่ใต้ปกครอง
เจตจำนงทั่วไป
เจตจำนงทั่วไปไม่ใช่เจตจำนงของบุคคล แต่เป็นเจตจำนงของประชาคมหรือรัฐ
องค์อธิปัตย์ซึ่งจะเป็นผู้กำหนดเจตจำนงทั่วไป คือ องค์คณะปวงชนซึ่งประกอบขึ้นด้วยบุคคลต่าง
ๆ เจตจำนงทั่วไปมี 2 ประการ
คือ
1.
เจตจำนงทั่วไปของเสียงข้างมาก
2.
เจตจำนงของฝ่ายข้างน้อย
เจตจำนงทั่วไปของรุสโซ คือ ประโยชน์ร่วมกัน
8.2.4 ทรรศนะของรุสโซกับอำนาจอธิปไตย กฎหมาย
รัฐบาล และศาสนา
คุณลักษณะของอำนาจอธิปไตย
ทฤษฎีของรุสโซ คุณลักษณะของอำนาจอธิปไตยคือ
คุณลักษณะที่มาจากกำเนิดของสัญญาประชาคมและนิยามขององค์อธิปัตย์ องค์อธิปัตย์ที่จัดตั้งขึ้นโดยสัญญาประชาคมก็คือองค์คณะประชาชน ซึ่งกำหนดเจตจำนงทั่วไปขึ้นโดยทางกฎหมาย
คุณลักษณะของอำนาจอธิปไตย
คือ คุณลักษณะเจตจำนงทั่วไป กล่าวคือ
1.
อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจที่ไม่อาจมอบหรือโอนให้กันได้
2.
อำนาจอธิปไตยไม่อาจจะแบ่งแยกได้
3.
อำนาจอธิปไตยไม่อาจจะผิดพลาดได้
4.
อำนาจอธิปัตย์เป็นอำนาจเด็ดขาด
กฎหมาย
ทรรศนะของรุสโซ กฎหมาย
คือ การแสดงออกของเจตจำนงทั่วไป กฎหมายมีค่าสูงส่งเทียบด้วยศาสนา
ความยุติธรรมและเสรีภาพมีอยู่ได้ก็ด้วยกฎหมายซึ่งเป็นสถาบันที่สูงส่งที่สุดของมนุษย์ กฎหมายจะเข้าไปเกี่ยวพันแต่กับเรื่องที่เป็นการทั่วไปเช่นเดียวกับเจตจำนงที่ตรากฎหมายนั้นออกมาเฉพาะกรณีและพิทักษ์ผลประโยชน์ส่วนรวมเท่านั้น รุสโซเน้นประเด็นนี้มาก กล่าวโดยสรุปคือ หน้าที่ใดก็ตามที่เกี่ยวพันกับเรื่องของส่วนบุคคล นั่นไม่ใช่หน้าที่ของอำนาจนิติบัญญัติ
ในปัญหาความยุติธรรม รุสโซเห็นว่า กฎหมายไม่อาจจะยุติธรรมได้
รัฐบาลและรูปรัฐบาล
รัฐบาลคือ รัฐมนตรีขององค์อธิปัตย์ ประชาชนไม่ได้ตั้งรัฐบาลขึ้นโดยสัญญา แต่งตั้งขึ้นโดยกฎหมาย
ระบอบการปกครองที่ยุติธรรม ของรุสโซมีระบอบเดียวคือระบอบที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
รุสโซ ยอมรับว่า
รัฐบาลเป็นองค์กรที่ใช้กฎหมายมีหลายรูปแบบ
รัฐบาลรูปแบบหนึ่ง คือ รัฐบาลประชาธิปไตย รัฐบาลที่องค์คณะประชาชนเป็นทั้งผู้ออกกฎหมายและออกมาตราย่อยเพื่อใช้กฎหมาย อำนาจบริหารถูกรวบเข้ากับอำนาจนิติบัญญัติ รัฐบาลแบบนี้ไม่ใช่รัฐบาลที่ดีได้เพราะว่า เป็นผู้ออกกฎหมายเองและใช้กฎหมายเอง
รัฐบาลอีกรูปแบบหนึ่ง
คือ รัฐบาลอภิชนาธิปไตย ซึ่งเป็นรัฐบาลของคนกลุ่มน้อย รุสโซชอบรัฐบาลแบบนี้ที่สุดเพราะ
1.
รัฐบาลอภิชนาธิปไตยได้แยกฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติออกอย่างเด่นชัด
2.
ระบอบอภิชนาธิปไตยมีการคัดเลือกเฟ้นบุคคลโดยสมาชิกคณะรัฐบาลเป็นคนกลุ่มน้อย
3.
กิจการสาธารณะต่างๆ ได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบและดำเนินการอย่างดีและมีระบบที่ดีรวดเร็วขึ้น
รัฐบาลอีกรูปแบบหนึ่ง
คือ รัฐบาลกษัตริย์
เป็นรูปแบบการบริหารอยู่ที่คน ๆ เดียว
ศาสนาของราษฎร
รุสโซ เห็นว่า
ศาสนาเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพี่สุดในการสร้างเอกภาพทางสังคม มีความคิดเหมือนกับฮอบส์
8.2.5 จุดมุ่งหมายและผลสะท้อนของสัญญาประชาคม
จุดมุ่งหมายของสัญญาประชาคม
ความฝันทางการเมืองของรุสโซ เป็นปัจเจกนิยม ในตอนต้น
แต่ลงเอยด้วยความคิดฝันรัฐนิยม
ที่เปี่ยมไปด้วยความรักชาติและความเสมอภาค
ซึ่งแสดงออกมาในรูปแบบการต่อต้านการลุแก่อำนาจและอำนาจพลาการ สิ่งที่รุสโซใฝ่หาคือ เหตุผล ความยุติธรรม
ศีลธรรม คุณธรรม
ในระบบของรุสโซ
อำนาจที่มีอยู่ในรัฐมีเพียงอำนาจเดียวเท่านั้นคือ “อำนาจนิติบัญญัติ” ซึ่งครอบคลุมอำนาจทั้งหมด รุสโซกล่าวว่า
พลังอำนาจรัฐเท่านั้นที่จะช่วยทำให้เสรีภาพของสมาชิกของรัฐเป็นผลขึ้นมาได้ ดังนั้น
รัฐแทนที่จะขัดแย้งกับบุคคล
กลับเป็นหลักประกันเสรีภาพและความเสมอภาคของราษฎร
ผลสะท้อนสัญญาประชาคม
ค.ศ. 1789 การปฏิวัติในฝรั่งเศส
ได้รับอิทธิพลทั้งทางตรงและทางอ้อมจากความคิดมูลฐานสำคัญ ๆ แห่ง สัญญาประชาคม
ซึ่งได้เข้าไปแทรกซึมอยู่ในความรู้สึกของมหาชนผู้มีการศึกษาแพร่ขยายออกไป
ความคิดมูลฐานที่สำคัญ ได้แก่
ความคิดเกี่ยวกับเอกภาพของรัฐเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนรวมที่จะต้องได้รับการเคารพ เกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของประชาชน
เกี่ยวกับกฎหมายซึ่งเป็นการแสดงออกของเจตจำนงทั่วไป เกี่ยวกับการขจัดออกไปซึ่ง สังคมย่อย
อันได้แก่กลุ่มคณะต่าง ๆ สมาคมพรรคการเมือง
เกี่ยวกับความไม่วางใจฝ่ายบริหารเกี่ยวกับระบอบเผด็จการเพื่อความปลอดภัยสาธารณะและเกี่ยวกับการศาสนาของราษฎร
ความคิดของรุสโซมีอิทธิพลต่อผู้ร่างรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส ค.ศ. 1789
มาก โดยเฉพาะหลัง ค.ศ. 1792
ความคิดนี้ครอบงำกลุ่มการเมืองที่สำคัญ ๆ ของฝรั่งเศสได้แก่กลุ่ม มองตานญ์
และโรเบสปีแอร์
รัฐธรรมนูญ ค.ศ.1793 ของฝรั่งเศสก็คือผลผลิตโดยตรงของความคิดรุสโซ
สรุปผลสะท้อน สัญญาประชาคม
เป็นความคิดมูลฐานที่สำคัญ ได้แก่
1.
ความคิดเรื่องเอกภาพของรัฐ
2.
ความคิดเรื่องการเคารพในผลประโยชน์ส่วนรวม
3.
อำนาจอธิปไตยของประชาชน
4.
การใช้กฏหมายเป็นเครื่องมือในการแสดงออกซึ่งเจตจำนงส่วนรวม
5.
การขจัดกลุ่มสังคมย่อย หรือกลุ่มบุคคล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น